เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ข่าวกรณี ชายวัย 28 ปีเสียชีวิตจากภาวะอาหารเป็นพิษรุนแรง กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมจีน สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนจำนวนมาก
สื่อ Red Star News รายงานว่า ผู้เสียชีวิตชื่อ หม่า โหมว ชาวมณฑลซานตง ประเทศจีน ซึ่งเดิมมีกำหนดเข้าพิธีแต่งงานในวันที่ 8 พฤษภาคม แต่กลับต้องจากไปก่อนวันสำคัญเพียงไม่กี่วัน

หม่า โหมว ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการ ตับวายเฉียบพลันจากอาหารเป็นพิษ และเสียชีวิตในวันที่ 15 พฤษภาคม แม้แพทย์จะพยายามรักษาอย่างเต็มที่ก็ตาม

เริ่มจากไก่หนึ่งมื้อ สู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันย้อนกลับ

ตามรายงาน ระบุว่าเมื่อวันที่ 29 เมษายน ชายหนุ่มมีอาการไข้และปวดศีรษะ หลังรับประทาน เนื้อไก่ปริมาณมาก ซึ่งคาดว่าเป็นไก่ที่ป่วยหรือถูกเก็บค้างคืนไว้ที่บ้าน
แทนที่จะไปพบแพทย์ เขากลับเลือกซื้อยาแก้ไข้และยาแก้อักเสบมารับประทานเอง ได้แก่ อะม็อกซีซิลลิน, ไอบูโพรเฟน รวมถึงสมุนไพรจีน “ป่านหลันเกิน” และยาชนิดอื่น ๆ

หลังรับประทานยา อุณหภูมิร่างกายลดลง อาการดูเหมือนดีขึ้น ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น เขาเริ่มมีอาการ ท้องอืด อ่อนเพลียอย่างรุนแรง และหมดสติ ก่อนถูกวินิจฉัยว่าเป็น ตับวายเฉียบพลันร่วมกับภาวะสมองจากตับ (โคม่า)

วันที่ 7 พฤษภาคม เขาถูกย้ายเข้าหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) และได้รับการถ่ายพลาสมาจำนวนมาก แต่สุดท้ายไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

ครอบครัวตั้งข้อสงสัยว่า เนื้อไก่ที่รับประทานอาจ ปรุงไม่สุกเพียงพอ ติดเชื้อ หรือปนเปื้อนสารพิษ ซึ่งนำไปสู่ภาวะอาหารเป็นพิษรุนแรงจนทำให้ตับล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน

อาการเตือนของอาหารเป็นพิษ ที่ไม่ควรมองข้าม

แพทย์อธิบายว่า อาหารเป็นพิษ มักแสดงอาการผ่านระบบทางเดินอาหาร โดยมักเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารที่ปนเปื้อน เช่น

• ปวดท้อง

• คลื่นไส้ อาเจียน

• ท้องเสีย

ในกรณีรุนแรง อาจมีอาการ เวียนศีรษะ เหงื่อออก ตัวเย็น อ่อนแรง หรือหมดสติ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทานอาหาร ควรหยุดกินทันที ดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยเจือจางสารพิษ และสังเกตอาการ
แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น หน้ามืด เป็นลม หรืออาเจียนไม่หยุด ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยไม่ชักช้า

ฤดูร้อน ช่วงเสี่ยงอาหารเป็นพิษสูงสุด

ฤดูร้อนถือเป็นช่วงที่เกิดอาหารเป็นพิษได้ง่ายที่สุด เนื่องจาก อุณหภูมิและความชื้นสูง เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา
แพทย์ย้ำว่า การป้องกันสามารถทำได้ หากยึดหลักความปลอดภัยด้านอาหาร 5 ข้อ ได้แก่

1. รักษาความสะอาด

2. แยกอาหารดิบและสุก

3. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง

4. เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม

5. ใช้น้ำและวัตถุดิบที่ปลอดภัย

วิธีสังเกตอาหารเสีย และป้องกันอันตราย

1. ดูสี – ดมกลิ่น
อาหารที่เริ่มเสียมักมีสีเข้มผิดปกติหรือมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เช่น เต้าหู้เหลือง ผลไม้มีจุดน้ำตาล หรือข้าวมีกลิ่นเปรี้ยว

2. ซื้อเท่าที่จำเป็น
อากาศร้อนทำให้อาหารบูดง่าย ควรหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารจำนวนมาก และบริโภคผักผลไม้สดให้เร็วที่สุด

3. เก็บอาหารให้ถูกวิธี
อาหารที่เหลือควรปิดฝาหรือห่อให้มิดชิด และแช่เย็นทันที อาหารที่ต้มสุกแล้วปล่อยให้เย็นก่อนแช่ตู้เย็น จะช่วยลดความเสี่ยงได้มาก

4. ล้าง แช่ และปรุงให้สุก
ผักควรแช่น้ำก่อนปรุง ผลไม้ควรปอกเปลือก ถั่วต้องต้มให้สุก และไม่ควรเก็บเห็ดป่ามารับประทานเอง

5. ตรวจวันหมดอายุทุกครั้ง
เลือกซื้ออาหารที่อยู่ใกล้วันผลิต และหลังเปิดบรรจุภัณฑ์ควรบริโภคให้เร็วที่สุด

บทเรียนราคาแพงจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้

กรณีของเจ้าบ่าววัย 28 ปี เป็นเครื่องเตือนใจว่า อาหารที่ดูธรรมดา หากเก็บหรือปรุงไม่ถูกต้อง อาจกลายเป็นภัยถึงชีวิตได้
แพทย์ย้ำว่า อย่าประมาทอาการผิดปกติหลังรับประทานอาหาร และไม่ควรใช้ยาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจซ้ำเติมตับและอวัยวะสำคัญจนเกิดผลลัพธ์ที่ไม่อาจย้อนกลับได้