กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยเนื้อสัมผัสนุ่มลื่น รสชาติอ่อน และคุณค่าทางโภชนาการสูง จนหลายคนยกให้เป็นหนึ่งในผักเพื่อสุขภาพที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารและหัวใจ อย่างไรก็ตาม แพทย์เตือนว่า แม้กระเจี๊ยบเขียวจะมีประโยชน์มาก แต่ ไม่ใช่ทุกคนที่เหมาะจะกินในปริมาณมากหรือกินเป็นประจำ

ประโยชน์ของกระเจี๊ยบเขียวที่หลายคนยอมรับ

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระบุว่า กระเจี๊ยบเขียวอุดมไปด้วยใยอาหาร วิตามินเอ วิตามินซี โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระ

• ช่วยระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก

• ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

• ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด

• มีแคลอรีต่ำ เหมาะกับผู้ควบคุมน้ำหนัก

ด้วยเหตุนี้ กระเจี๊ยบเขียวจึงถูกยกย่องว่าเป็นผักที่ “ดีจนหลายคนยกนิ้วให้”

แพทย์เตือน 3 กลุ่มที่ควรกินอย่างระวัง

แม้จะมีประโยชน์ แต่แพทย์ระบุว่า กระเจี๊ยบเขียวมีสารบางชนิด ที่อาจส่งผลเสียต่อบางกลุ่ม หากกินมากเกินไป

1. ผู้ที่มีปัญหาไต หรือมีนิ่วในไต
กระเจี๊ยบเขียวมีออกซาเลต ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หากรับประทานในปริมาณมากหรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน ผู้ป่วยโรคไตควรปรึกษาแพทย์ก่อน

2. ผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ หรือเป็นโรคกระเพาะ
เมือกในกระเจี๊ยบเขียวแม้จะช่วยเคลือบกระเพาะ แต่ในบางรายอาจทำให้ท้องอืด แน่นท้อง หรือระคายเคืองได้ โดยเฉพาะหากกินดิบหรือกินตอนท้องว่าง

3. ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ
กระเจี๊ยบเขียวอาจรบกวนการดูดซึมยาบางประเภท เช่น ยาควบคุมระดับน้ำตาลหรือยาลดความดัน หากกินในปริมาณมากควรเว้นระยะห่างจากเวลารับประทานยา

กินอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์

แพทย์แนะนำว่า การกินกระเจี๊ยบเขียวให้เหมาะสม ควร

• ปรุงสุกพอประมาณ หลีกเลี่ยงการกินดิบในปริมาณมาก

• กินสลับกับผักชนิดอื่น ไม่ควรกินซ้ำ ๆ ทุกวัน

• ผู้มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์หรือโภชนากร

สรุป

กระเจี๊ยบเขียวเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง แต่ ประโยชน์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อกินอย่างเหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน แพทย์ย้ำว่า ไม่มีอาหารชนิดใดที่ดีต่อทุกคนในทุกสถานการณ์ การรู้จักข้อจำกัดของตัวเองและเลือกกินอย่างพอดี คือกุญแจสำคัญของสุขภาพที่ยั่งยืน