“ฉันตกใจมาก เพราะฉันมีความหวังไว้สูงกับการแต่งงานครั้งที่สองนี้” นางสาวเอ กล่าว

คุณเอ อายุ 38 ปี มีชีวิตสมรสที่ไม่สมหวังเมื่อสามีคนแรกเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้เธอต้องทิ้งลูกสาวตัวน้อยไว้คนเดียว หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอได้รู้จักกับสามีคนที่สอง เขาเป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเธอ 3 ปี เป็นสาวพรหมจารี อ่อนโยน ขยันขันแข็ง มีงานที่มั่นคง และรักลูกเลี้ยงของเธอมากเป็นพิเศษ

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังไปได้สวย คุณเอจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่ด้วยความหวังว่าสามีคนนี้จะนำพาชีวิตที่ดีกว่ามาสู่เธอและลูก เธอจึงรับลูกสาวมาเป็นลูกสะใภ้ของครอบครัวสามีใหม่ “จริงๆ แล้วตอนแรกก็ค่อนข้างดี เขารักลูกเลี้ยงของภรรยามาก เขายังเป็นคนอ่อนโยนและขยันขันแข็ง อย่างที่แม่สื่อบอกฉัน” คุณเอเล่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อชีวิตเริ่มมั่นคงขึ้น เธอต้องการมีลูกด้วยกันอีกหลายคนเพื่อกระชับความสัมพันธ์ แต่สามีกลับเริ่มเมินเฉย ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือ เขากลับขอย้ายงานไปอยู่ที่ไกลแสนไกล ทั้งๆ ที่ทำงานใกล้บ้านก็ยังไปได้สวย นับแต่นั้นมา เขาต้องอยู่ห่างไกลจากภรรยาและลูกๆ กลับบ้านบ้างเป็นครั้งคราว และกินนอนเงียบๆ แทบไม่ได้พูดคุยหรือแบ่งปันอะไรกับใครเลย

คุณเอ แบ่งปันเรื่องราวของเธอ

ในฐานะผู้หญิง คุณเอ ไม่เพียงแต่ต้องการสามีในนามเท่านั้น แต่ยังต้องการการสนับสนุนทั้งทางจิตวิญญาณและอารมณ์อีกด้วย มีหลายช่วงเวลาที่ทั้งคู่แทบจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กันเลย เพราะสามีของเธอทำงานไกล และทุกครั้งที่กลับบ้าน เขามักจะหาข้ออ้างเหนื่อยๆ มาปฏิเสธเสมอ 

ระหว่างที่เธอกำลังรู้สึกขาดความอบอุ่นทางอารมณ์ คุณเอได้ระบายความรู้สึกกับเพื่อนร่วมงานชายคนหนึ่ง ความสัมพันธ์นี้จบลงเพียงแค่การพูดคุย ไม่ได้ยืดเยื้อออกไปไกลเกินขอบเขต ทว่าเมื่อสามีของเธอพบว่าคุณเอมี "การนอกใจทางจิตใจ" เขากลับไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกมา เขาไม่ได้โกรธ ไม่ได้ตำหนิ แต่เพียงนิ่งเงียบเฉยราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเขาเอง "การแสดงออกที่สะสมมามากมายทำให้ฉันรู้สึกสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้" คุณเอเล่า

จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอเผลออ่านข้อความในโทรศัพท์ของสามี แล้วพบว่าเขากำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น ตอนนั้นเอง เธอจึงตระหนักได้ว่าสามีของเธอรักแต่ผู้ชายเท่านั้น

ทันทีหลังจากนั้น คุณเอก็ได้พูดคุยกับสามีอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับขอโทษและยอมรับว่ายังรักเธออยู่ แต่ไม่ได้รักผู้หญิง เขามองเธอเป็นเพื่อนสนิท การแต่งงานครั้งนี้มีไว้เพื่อปกปิดทุกอย่าง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพ่อแม่ และอีกทั้งยังต้องการทายาท อยากเห็นลูกเลี้ยงของเธอเป็นลูกบุญธรรม เพื่อที่เขาจะมีใครสักคนดูแลเขาในยามชรา

เขายังเล่าด้วยว่า เมื่อทราบว่าเธอมีลูกแล้วและอายุมากแล้ว เขาคิดว่าเธอคงไม่อยากมีลูกอีกและสามารถยอมรับการแต่งงานที่ขาดความรักได้อย่างง่ายดาย

“ฉันตกใจมาก เพราะฉันตั้งความหวังไว้สูงกับการแต่งงานครั้งที่สองนี้ ฉันไม่ได้อายุน้อยแต่ก็ไม่แก่เกินไปเช่นกัน แต่การที่ต้องอยู่กับคนที่ไม่มีความต้องการทางอารมณ์หรือความต้องการทางเพศ และมีความรู้สึกต่อเพศตรงข้าม ทำให้ฉันยอมรับได้ยาก แต่ถ้าเราหย่ากัน ฉันก็จะเสียใจมากเช่นกัน” คุณเอ กล่าว

เมื่อฟังเรื่องราวของนางสาวเอ ดร.ดินห์ ดวาน กล่าวว่าสามีของเธอเป็นไบเซ็กชวล ไม่ใช่เกย์ เนื่องจากเขายังสามารถมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภรรยาของเขาได้

เขาแนะนำให้คุณเอยุติการแต่งงานครั้งนี้และยุติลงอย่างสงบ เพราะทั้งคู่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน และยังไม่มีความสัมพันธ์ทางการเงินหรือเรื่องลูกๆ ที่จะทะเลาะกัน ส่วนเรื่องครอบครัวหรือคนนอก พวกเขาแค่ต้องบอกว่าไม่เห็นด้วยเท่านั้น จึงหย่าร้างกัน

มีคู่รักบางคู่ที่แก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ เขาคุกเข่าลงขอโทษ บอกว่าตอนนี้คุณทำอะไรก็ได้ แค่อย่าทิ้งเขาไปก็พอแล้ว ให้เขาไปมีครอบครัว ไม่งั้นเขาจะเมินคุณเมื่อคุณมีผู้ชายคนอื่น หมายความว่าเขาไม่ได้หึงหวง การแต่งงานเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อมีภรรยา มีลูก และมีครอบครัว

แต่ผู้หญิงทุกคนก็ยอมรับไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันคงต้องคอยสะกดรอยตามและคบหากับใครต่อไป เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ฉันจะเป็นคนที่เสียชื่อเสียง

ประการที่สอง หากคุณยังคงแต่งงานอยู่และมองหาคนอื่นมาเติมเต็มความต้องการทางสรีระ แสดงว่าคุณมีความต้องการทางเพศมากเกินไป สามีภรรยาต่างมอบสิ่งต่างๆ ให้แก่กันมากมาย ทั้งความอบอุ่น เกียรติยศ ตำแหน่งที่พวกเขาสามารถไปไหนมาไหนด้วยกันได้ และแนะนำตัวเองกับเพื่อนอย่างภาคภูมิใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องง่ายๆ แค่นั้น" ดร. ดินห์ ดวน กล่าว