ในหลายครัวเรือน มักมีการนำน้ำที่ใช้ต้มเนื้อหรือต้มหมู มาปรุงอาหารต่อ เช่น นำไปต้มผัก ต้มแกงจืด หรือต้มมาม่า เพราะเชื่อว่าน้ำนี้มีรสชาติหวานมันจากเนื้อและกระดูก ทำให้อาหารอร่อยขึ้น และยังช่วย “ประหยัด” ไม่ต้องเททิ้งให้เสียของ แต่คำถามคือ การทำน้ำต้มเนื้อมาใช้ซ้ำแบบนี้ “ดีต่อสุขภาพจริงหรือไม่”

ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการให้ข้อมูลว่า น้ำต้มเนื้อที่เพิ่งต้มใหม่ ๆ นั้น สามารถใช้ประกอบอาหารต่อได้ หากทำอย่างถูกวิธี โดยเฉพาะถ้าต้มด้วยอุณหภูมิสูงและใช้เนื้อสดที่สะอาด จะได้สารอาหารอย่างคอลลาเจน โปรตีน และแร่ธาตุบางชนิดละลายออกมาในน้ำ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยให้อาหารมีรสชาติกลมกล่อมขึ้น

แต่ปัญหาคือ หลายคนมักจะ “ต้มเนื้อทิ้งไว้นาน” หรือเก็บน้ำต้มไว้ข้ามวัน โดยไม่ได้อุ่นให้ร้อนก่อนนำมาใช้ใหม่ ซึ่งในกรณีนี้อาจเกิดการเจริญของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะหากเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง การนำไปต้มผักต่อจึงอาจกลายเป็น “การปนเปื้อน” มากกว่าจะเป็นการเสริมสารอาหาร

ผู้เชี่ยวชาญยังชี้ว่า หากน้ำต้มเนื้อมีไขมันลอยอยู่มาก ควรกรองหรือช้อนออกก่อนนำไปใช้ต้มผัก เพราะไขมันสัตว์เมื่อผ่านความร้อนซ้ำ ๆ จะเกิดสารอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้ น้ำที่ต้มเนื้อเค็มเกินไปจากการใส่เกลือหรือน้ำปลา ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำไปปรุงผัก เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับโซเดียมมากเกินจำเป็น

อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำต้มเนื้ออย่างเหมาะสมยังคงให้ประโยชน์ได้ เช่น หากเป็นน้ำซุปที่เพิ่งต้มใหม่ ยังไม่ปรุงรสและเก็บในภาชนะสะอาด สามารถนำมาทำซุปผัก แกงจืด หรือข้าวต้มได้ โดยควรต้มน้ำให้เดือดอีกครั้งก่อนปรุง เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนอยู่

อีกหนึ่งข้อแนะนำคือ หากต้องการเก็บน้ำต้มไว้ใช้ในภายหลัง ควรแช่เย็นทันทีหลังเย็นตัว และไม่ควรเก็บเกิน 1–2 วัน เมื่อจะนำมาใช้ใหม่ให้ต้มน้ำให้เดือดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

สุดท้ายนี้ ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า การนำน้ำต้มเนื้อมาต้มผัก “ไม่ผิด” หากทำอย่างถูกสุขลักษณะและไม่เก็บไว้นานเกินไป เพราะนอกจากช่วยเพิ่มรสชาติแล้ว ยังช่วยประหยัดวัตถุดิบและลดของเสียในครัว แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องรักษาความสะอาดและอุณหภูมิในการเก็บให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อแบคทีเรียและสารอันตรายต่อสุขภาพ

ดังนั้น ใครที่ชอบใช้น้ำซุปจากการต้มเนื้อ ควรใส่ใจรายละเอียดเล็กน้อยก่อนนำมาใช้ เพื่อให้ได้ทั้ง “รสชาติ” และ “ความปลอดภัย” ไปพร้อมกัน เพราะแม้ของอร่อยจะสำคัญ แต่สุขภาพที่ดีนั้นสำคัญกว่าเสมอ 🍲