ข่าว 26/10/2025 20:03

คุณครูอนุบาลถึงกับหนักใจ เมื่อเจอผู้ปกครอง 3 แบบนี้มารับลูก โดยเฉพาะข้อที่ 2 พบได้บ่อยที่ส

ครูอนุบาล “บ่นอุบ” กลัวที่สุด เวลาพบผู้ปกครอง 3 แบบ มารับลูกที่โรงเรียน โดยเฉพาะแบบที่ 2 ซึ่งมีคนเป็นกันเยอะมาก

คุณเห็นด้วยไหม? คุณเป็นพ่อแม่แบบไหน?

หลายคนมักคิดว่า เมื่อส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล ครูต้องรับผิดชอบทั้งหมด ดูแล สอน และเอาใจใส่ลูกเราโดยไม่มีข้อแม้ แต่แท้จริงแล้ว ทุกวันครูต้องรับมือกับเด็กนับสิบคนที่ทั้งซน ทั้งอารมณ์แปรปรวน แถมยังต้องเจอกับความ “เอาใจยาก” ของผู้ปกครองด้วย เรื่องนี้ทั้งเหน็ดเหนื่อยทางร่างกายและจิตใจจริง ๆ

มีคนเล่าว่า วันหนึ่งคุยกับเพื่อนที่เป็นครูประจำชั้นอนุบาล ฟังเธอเล่าถึง “ช่วงเวลาอารมณ์ระเบิด” ตอนเลิกเรียน ก็เข้าใจทันทีว่า ถ้าเจอผู้ปกครอง 3 แบบนี้ ครูแทบจะ “หัวร้อน” ไม่ต่างกัน เรื่องนี้จึงได้รับเสียงเห็นด้วยจากหลายคนมาก

แล้วผู้ปกครองทั้ง 3 แบบนั้นคือใคร?



แบบที่ 1: “วันนี้ลูกทำอะไรบ้าง?” – พ่อแม่ถามรัวจนครูแทบหายใจไม่ทัน

พอถึงเวลาเลิกเรียน ผู้ปกครองบางคนเพิ่งมาถึงก็ยิงคำถามเป็นชุดไม่หยุด

“ครูคะ ลูกผมกินข้าวไปกี่จานวันนี้?”
“มีทะเลาะกับเพื่อนไหม?”
“บ่ายเรียนวิชาอะไร?”
“ร้องไห้ไหม? ถูกรังแกหรือเปล่า?”
“ทำไมให้ใส่รองเท้าคู่นี้?”
ฟังดูเหมือน “ใส่ใจลูก” แต่ถ้าเป็นครูต้องเจอทุกวัน ความกดดันนั้นหนักหนามาก

เพื่อนของผู้เล่าเรื่องบอกว่า ครูบางครั้งต้องแอบดื่มน้ำตอนเด็กงีบกลางวัน ยังไม่นับคำถามไม่รู้จบจากผู้ปกครอง บางคนอยากให้ครูรายงานรายละเอียดทุกนาทีของวัน ราวกับติดกล้องวงจรปิด

บางครั้งผู้ปกครองเพียงได้ยินลูกบอกว่า “วันนี้ครูไม่ได้สนใจหนู” ก็วิ่งมาทักทายทันที “ฉันจ่ายเงินส่งลูกมาเรียนกับครู ทำไมครูไม่ดูแลเขา?”

การใส่ใจลูกเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อความใส่ใจกลายเป็น “คอยสอดส่อง” หรือ “สงสัยตลอดเวลา” นั่นคือผิดเพี้ยนแล้ว การศึกษาเป็นเรื่องความร่วมมือ ไม่ใช่การต่อสู้ และความเชื่อใจต่างหากคือพื้นฐาน ไม่ใช่การสอบสวน

แบบที่ 2: “โอ้ ฉันกำลังจะสาย ให้ลูกฉันออกก่อนสิ!” – แย่งคิวรับลูก ครูหมดทางรับมือ

ผู้ปกครองบางคนยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนก็ยืนมองไปมาหรือเกาะหน้าต่างดูลูก พอถึงเวลาเลิกเรียนก็รีบวิ่งเข้ามา

“ครูคะ ฉันยุ่ง ให้ลูกฉันออกก่อนนะ!”
“เร็วหน่อย รถฉันจอดข้างนอกกลัวโดนปรับ!”
“คนเยอะเกิน กลัวลูกถูกเบียด ให้ฉันเข้าไปรับเลย!”
แต่ครูจะปล่อยเด็กหลายสิบคนออกไปพร้อมกันได้อย่างไร? หากทุกคนคิดว่า “ลูกฉันสำคัญที่สุด” แล้วไม่สนใจความปลอดภัยหรือระเบียบ ผลลัพธ์อาจร้ายแรง

ผู้ปกครองคนหนึ่งเล่าว่า เคยเจอสถานการณ์ที่มีผู้ปกครองพยายามดึงลูกออกไป ทำให้เด็กคนอื่นวิ่งตาม เกือบเกิดเหตุ “เหยียบกันเองขนาดย่อม” โชคดีที่ครูสามารถหยุดได้ แต่หลังจากนั้นยังมือสั่นขาอ่อน

การศึกษาคือกิจกรรมร่วมกัน การกระทำใดที่คิดว่าเป็น “สิทธิพิเศษ” อาจก่อความเสี่ยง หากผู้ปกครองไม่เคารพกฎ เด็กก็จะคิดว่ากฎไม่มีความหมายเช่นกัน



แบบที่ 3: “ฉันกำลังอยู่บนทาง เดี๋ยวถึงนะ ครูช่วยรอหน่อย…” – ผู้ปกครองมาสายบ่อย ครูแทบเหนื่อยใจ

นี่คือแบบที่ทำให้ครูอยาก “กลอกตา” มากที่สุด หลังเลิกเรียนหลายสิบนาที เด็กยังยืนรอผู้ปกครองอยู่คนเดียว ครูอยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ เด็กก็หิว เหนื่อย และเหม่อลอย

บางครั้งผู้ปกครองโทรมาอย่างใจเย็น “รถติด ครูช่วยดูอีก 20 นาทีได้ไหม”

ครูไม่ใช่พี่เลี้ยงนอกเวลา พวกเขาก็มีครอบครัวและลูกต้องดูแล

ครูคนหนึ่งเล่าว่า มีวันหนึ่งเธอเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน แต่ได้รับโทรศัพท์ “โอ้ วันนี้ฉันลืมถึงตาตัวเองไปรับลูก ให้แม่ฉันไปแทน”

ผลลัพธ์คือเธอต้องใส่เครื่องแบบกลับมาดูแลเด็กอีก

ปัญหาคือเรื่องนี้เกิดซ้ำ ๆ และไม่มีคำขอโทษ การมาตรงเวลาไม่ใช่แค่แสดงความเคารพต่อครู แต่ยังปกป้องความปลอดภัยทางอารมณ์ของเด็ก เด็กที่มักถูก “ลืมไปรับ” จะคิดในใจว่าตัวเองไม่สำคัญ

การไปรับลูกดูเหมือนเรื่องง่าย แต่รายละเอียดทุกอย่างสะท้อนทัศนคติในการเลี้ยงดู ความเคารพกฎ และการปกป้องความรู้สึกของลูก หากผู้ปกครองตรงเวลา เชื่อใจครู ปฏิบัติตามขั้นตอนและรักษาความเรียบร้อย เด็กก็จะเรียนรู้คุณสมบัติเหล่านี้ตามไปด้วย แต่หากคุณแซงคิว มาสาย หรือไม่เคารพกฎ เด็กก็จะเลียนแบบพฤติกรรมนั้น

เมื่อคุณไปรับลูก คุณไม่ได้แค่รับเด็กกลับบ้าน แต่กำลังสร้างภาพลักษณ์ของพ่อแม่ในใจลูกด้วย

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่