“ทำไมบ้านหลังเดียวถึงหยุดโครงการถนนทั้งสาย?” เมื่อเจ้าของบ้านปฏิเสธเงินชดเชยกว่า 7 ล้านบาทและที่ดิน 3 แปลง

ที่มณฑลเจียงซี ประเทศจีน เกิดเหตุไม่คาดคิดในโครงการก่อสร้างถนนสายใหม่ของอำเภอจินซี เมื่อครอบครัวหนึ่งตัดสินใจไม่ยอมย้ายออกจากบ้าน แม้จะได้รับข้อเสนอเงินชดเชยกว่า 2 ล้านหยวน (ประมาณ 7 ล้านบาท) พร้อมที่ดินจัดสรรใหม่อีก 3 แปลง ทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักและท้ายที่สุดถนนต้องเปลี่ยนเส้นทาง

ครอบครัวนามสกุลหวงซึ่งอาศัยอยู่ในแนวก่อสร้างได้ยืนยันว่าจะไม่ย้ายออกไป พวกเขาเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเป็น 4 ล้านหยวน และขอที่ดินเพิ่มเติมเพื่ออยู่อาศัยใหม่ ลูกเขยของเจ้าของบ้านยังจ้างทนายความมาเจรจา แต่ไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ ส่งผลให้พื้นที่รอบบ้านกลายเป็นจุดติดค้างของโครงการ

ตลอดหลายเดือนต่อมา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นพยายามเจรจาหลายครั้งแต่ไม่ได้ผล จนถึงต้นปี 2567 ครอบครัวหวงเพิ่มเงื่อนไขใหม่ ต้องการค่าชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตอีก 5 ปีควบคู่กับเงินก้อนเดิม ทำให้บริษัทก่อสร้างและหน่วยงานรัฐตัดสินใจเปลี่ยนแนวถนนหลีกเลี่ยงบ้านหลังนี้แทน

ถนนใหม่จึงถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีการสร้างกำแพงคอนกรีตกั้นรอบบ้านเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อ แม้ต้องใช้งบเพิ่มอีกหลายล้านหยวน หลังถนนเปิดใช้งาน บ้านของครอบครัวหวงจึงกลายเป็น “บ้านกลางถนน” ที่ถูกล้อมรอบด้วยทางหลวงทั้งสองด้าน

อย่างไรก็ตาม การอยู่อาศัยกลับไม่สะดวกอย่างที่คิด รถบรรทุกวิ่งผ่านตลอดวันทำให้บ้านสั่นสะเทือน มีฝุ่นและเสียงดังตลอดเวลา ผนังเริ่มแตกร้าว น้ำฝนขังหน้าบ้านเป็นประจำ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของบ้านถึงกับยอมรับในภายหลังว่า “หากย้อนเวลาได้ คงจะย้ายออกตั้งแต่แรก”

กรณีนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในจีน ก่อนหน้านี้ในเมืองกวางโจว เคยมีครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่ในอาคารเก่าขนาด 30 ตารางเมตรแต่เรียกร้องค่าชดเชยสูงถึง 10 ล้านหยวน สุดท้ายผู้พัฒนาโครงการต้องสร้างสะพานล้อมรอบอาคารแทน จนกลายเป็นสัญลักษณ์แปลกตาของเมือง

เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนความซับซ้อนของการเวนคืนที่ดินในเมืองใหญ่ของจีน ซึ่งต้องสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและสิทธิในการอยู่อาศัยของประชาชน บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ยืนหยัดอยู่กลางถนน จึงไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้าน แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงในสังคมจีนยุคใหม่.