คนที่กินไข่เป็นประจำในมื้อเช้า หลังผ่านไป 6 เดือน ร่างกายจะมี 6 การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด

ไข่ถือเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ถ้ากินไข่ในมื้อเช้าเป็นประจำ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายหลังจากผ่านไป 6 เดือน?

มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า เพียงแค่รักษานิสัยการกินไข่ในมื้อเช้าทุกวัน ร่างกายจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพอย่างชัดเจนภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักโภชนาการทั่วโลกแนะนำให้มีไข่ในมื้อเช้าทุกวัน

ไข่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน เมื่ออายุมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง โปรตีนจากไข่ช่วยชะลอการสูญเสียกล้ามเนื้อ และยังช่วยเสริมสร้างและคงสภาพกล้ามเนื้อให้แข็งแรง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ

นอกจากนี้ การกินไข่ตอนเช้ายังช่วย ควบคุมน้ำหนัก ได้ดี เพราะโปรตีนในไข่ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหารในมื้อถัดไป รวมถึงลดการกินของมัน ของทอด และของหวาน จึงช่วยลดการสะสมของไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไข่ยังมีประโยชน์ต่อสมอง เพราะมีสารโคลีน (Choline) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างอะเซทิลโคลีน (Acetylcholine) สารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและสมาธิ งานวิจัยระบุว่าการได้รับโคลีนอย่างเพียงพอช่วยชะลอการเสื่อมของความจำในผู้สูงอายุได้

ในด้านการมองเห็น ไข่มีสารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องจุดรับภาพ (Macula) ของดวงตา ลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนใช้สายตากับหน้าจอเป็นเวลานาน

สำหรับระบบหัวใจและหลอดเลือด ไข่ (โดยเฉพาะไข่ที่มีโอเมก้า-3 สูง) ช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแข็งตัวและโรคหัวใจ

สุดท้าย ไข่ยังถูกเรียกว่าเป็น “เพื่อนของผิวและเส้นผม” เพราะมีไบโอติน (Biotin) และกำมะถันธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงรากผม เสริมความแข็งแรงของผิวหนัง และช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้ดี

สรุปแล้ว การกินไข่ในมื้อเช้าเป็นประจำสามารถส่งผลดีต่อร่างกายใน 6 ด้าน ได้แก่
1️⃣ เสริมสร้างและรักษากล้ามเนื้อ
2️⃣ ควบคุมน้ำหนัก
3️⃣ ช่วยเรื่องความจำและสมอง
4️⃣ ปกป้องสายตา
5️⃣ ปรับสมดุลไขมันในเลือด
6️⃣ บำรุงผิวและเส้นผม

อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม “ดีแต่ต้องพอดี” โดยเฉพาะผู้ที่มีคอเลสเตอรอลสูงหรือมีโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะกับร่างกายตนเอง