ช่วงเช้าถือเป็นช่วงเวลาที่สุขภาพจะแสดงออกชัดเจนที่สุด ดังนั้นสัญญาณของโรคมะเร็งจึงยากที่จะ "ซ่อน" ไว้

ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยาระบุว่ามะเร็งไม่ได้มีอาการชัดเจนเสมอไป โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรก อย่างไรก็ตาม เมื่อเซลล์มะเร็งเติบโตและพัฒนาอย่างเงียบๆ ในร่างกาย พวกมันจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญคือไม่ใช่ทุกคนที่จะตระหนักถึงเรื่องนี้ หรือหลายคนอาจมองข้ามไป โดยสับสนกับโรคเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี 3 ช่วงเวลาในแต่ละวันที่สัญญาณมะเร็งจะ "ซ่อน" ได้ยาก คือ ตอนกลางคืน ขณะรับประทานอาหาร (มื้อหลัก) และตอนเช้าหลังตื่นนอน ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น อุณหภูมิ สภาวะการเคลื่อนไหว โภชนาการ... ดังนั้น หากคุณพบความผิดปกติ 7 ประการนี้ซ้ำๆ ทุกเช้าหลังตื่นนอน มีโอกาสสูงที่คุณอาจกำลังเผชิญกับโรคมะเร็งหลายชนิด:

1. เหนื่อยมาก ตื่นยาก

จากข้อมูลของ Cancer Research UK ระบุว่า อาการอ่อนเพลียเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยมะเร็ง และแสดงอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ สาเหตุที่อาการนี้ปรากฏชัดเจนในตอนเช้าเมื่อตื่นนอนก็เพราะเซลล์มะเร็งทำงานมากขึ้นในเวลากลางคืน และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงในตอนเช้า ดังนั้น อาการอ่อนเพลียและตื่นยากจึงเกิดขึ้นได้ แม้ว่าคุณจะนอนหลับเพียงพอและเข้านอนเร็วในคืนก่อนหน้าก็ตาม

 

อาการนี้มักพบได้ชัดเจนกว่าและเกิดขึ้นเร็วในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาว เนื่องจากโรคเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากไขกระดูก เช่นเดียวกัน มะเร็งกระดูกก็ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ทำให้ร่างกายง่วงนอนตลอดเวลา มะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการนี้มักอยู่ในระยะท้ายๆ ร่วมกับอาการนอนไม่หลับและนอนหลับยากในเวลากลางคืน

3. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง

อาการปวดศีรษะเรื้อรัง โดยเฉพาะอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับอาการคลื่นไส้/เวียนศีรษะ/มองเห็นภาพเบลอเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ถือว่าเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยที่สุดคือเนื้องอกในสมองหรือมะเร็งที่แพร่กระจายไปยังสมอง

จากการวิจัยของ Brain Tumour Research (UK) อาการปวดศีรษะเป็นหนึ่งในอาการหลักของเนื้องอกในสมอง ความแตกต่างคืออาการปวดนี้จะรุนแรงกว่า โดยมีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะในตอนเช้า มะเร็งที่แพร่กระจายไปยังสมองและทำให้เกิดอาการปวดศีรษะในตอนเช้า ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเซลล์ไต เป็นต้น

3. กลิ่นปากเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก

หากปากของคุณมีกลิ่นเหม็นทุกเช้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโรคทางทันตกรรม และไม่ค่อยดีขึ้นหลังจากแปรงฟัน/บ้วนปาก คุณควรระวังโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีกลิ่นแปลกๆ เช่น กลิ่นแอปเปิลเน่า กลิ่นเหม็นคล้ายโลหะ กลิ่นปลาเน่าและกลิ่นกุ้งเน่า... มะเร็งที่พบบ่อย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งหลอดลม มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ

 

มะเร็งปอดทำให้เกิดการสะสมของเมือกในปอด นำไปสู่กลิ่นปากอันเนื่องมาจากการสลายของกรด มะเร็งกระเพาะอาหารยังทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน อาการแสบร้อนกลางอก และกลิ่นปาก มะเร็งตับทำให้สารพิษในร่างกายไม่ถูกเผาผลาญตามปกติ ทำให้ระดับแอมโมเนียในเลือดสูงขึ้น นำไปสู่กลิ่นปาก

4.อาการปวดท้อง

ระวังอาการปวดท้องเรื้อรังทุกเช้าเมื่อตื่นนอน มักเกิดจากเนื้องอกในระบบทางเดินอาหารและทางเดินปัสสาวะ มะเร็งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ

อาการปวดท้องจากมะเร็งในตอนเช้ามักมาพร้อมกับการขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องเสียหรือท้องผูก ถ่ายอุจจาระลำบาก ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ นอกจากมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ ฯลฯ แล้ว อาจมีเนื้องอกร้ายในกระเพาะปัสสาวะหรือไตร่วมด้วย นอกจากนี้ องค์การวิจัยมะเร็งแห่งสหราชอาณาจักร (British Cancer Research Organization) ยังเตือนว่าอาการนี้เป็นอาการหนึ่งของมะเร็งเมดัลลารี (Medullary Cancer) ที่ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้นเพื่อกำจัดแคลเซียมส่วนเกิน

5. อาการคลื่นไส้และอาเจียน

มะเร็งหลายชนิดนอกเหนือจากมะเร็งกระเพาะอาหารหรือมะเร็งหลอดอาหาร มักทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนเมื่อตื่นนอน ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับอ่อน และมะเร็งตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ามะเร็งที่มีแนวโน้มแพร่กระจายไปยังสมองก็อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้เช่นกัน มะเร็งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งไต

Cancer Research UK เน้นย้ำว่าอาการแพ้ท้องเป็นอาการทั่วไปในผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะในระยะลุกลามหรือเมื่อได้รับเคมีบำบัดหรือฉายรังสี

6. ไอบ่อยและต่อเนื่อง

หากคุณตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมกับอาการไอเรื้อรังที่ไม่หายขาด หลังจากตัดโรคพื้นฐานอย่างไข้หวัดใหญ่ หวัด เจ็บคอ ปอดบวมออกไปแล้ว ลองนึกถึงสัญญาณของมะเร็งปอดและมะเร็งหลอดอาหาร อาการไอถือเป็นสัญญาณหลักของมะเร็งปอด แต่อาการนี้อาจแย่ลงในตอนเช้า เนื้องอกอาจอุดกั้นทางเดินหายใจบางส่วนและสะสมเป็นเสมหะในชั่วข้ามคืน ทำให้อาการไอแย่ลงในตอนเช้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากอาการไอเป็นอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์โดยไม่มีอาการดีขึ้น และมีเลือดปนมาด้วย ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันทีเพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด

7. ปัสสาวะผิดปกติ

การปัสสาวะครั้งแรกของวันสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพได้อย่างมาก โดยปกติแล้วปัสสาวะจะมีสีเหลืองอ่อน ไม่ขุ่น และจะเปลี่ยนสีและปริมาณน้ำขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานอาหารในแต่ละวัน หากปัสสาวะมีกลิ่นน้ำตาลดึงดูดมด ก็มีแนวโน้มว่าปัสสาวะมีน้ำตาลมากเกินไป ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของโรคเบาหวาน

 

หากปัสสาวะบ่อยและปวดท้องน้อย อาจเป็นสัญญาณของนิ่วในทางเดินปัสสาวะ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ หรือมะเร็งไต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพบเลือดปนในปัสสาวะทุกเช้า ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที

ที่มาและภาพ: Aboluowang, Kknews