หลายคนมักมองข้ามอาการปวดหัว โดยไม่รู้ว่านั่นอาจเป็น “สัญญาณอันตราย” จากโรคมะเร็ง
อาการปวดหัวเป็นความไม่สบายที่พบได้บ่อยมากในสังคมยุคปัจจุบัน มักเกิดจากความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่พบไม่บ่อย อาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณเตือนของก้อนเนื้อหรือมะเร็งที่กำลังเติบโตภายในสมอง
การละเลยหรือรักษาด้วยตนเองเมื่อมีอาการปวดหัวผิดปกติ อาจทำให้ผู้ป่วยพลาดโอกาสในการตรวจพบและรักษาได้ทันท่วงที เสมือนกำลังถือ “ระเบิดเวลา” ไว้ในร่างกาย

ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แนะนำว่า หากอาการปวดหัวเกิดขึ้นใน 4 ลักษณะต่อไปนี้ ควรรีบเข้ารับการตรวจจากแพทย์เฉพาะทาง เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคมะเร็งสมองหรือโรคอันตรายอื่น ๆ

1. ปวดหัวรุนแรงขึ้นในตอนเช้า หลังตื่นนอน

อาการปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับก้อนเนื้อในสมอง มักมีลักษณะรุนแรงมากขึ้นในตอนเช้า หลังตื่นนอน
เมื่อเรานอนหลับ ความดันภายในกะโหลกศีรษะและน้ำหล่อสมองมักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับผู้ที่มีก้อนเนื้ออยู่แล้ว การเพิ่มความดันนี้จะยิ่งทำให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น
อาการอาจบรรเทาลงหลังจากลุกขึ้นและเคลื่อนไหวสักระยะหนึ่ง หากคุณมักตื่นนอนพร้อมอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

2. ปวดหัวร่วมกับอาเจียน (โดยไม่มีอาการคลื่นไส้มาก่อน)

อาการคลื่นไส้และอาเจียนพบได้ในหลายภาวะ ตั้งแต่การเป็นพิษจากอาหารจนถึงโรคกระเพาะอาหาร แต่การอาเจียนที่เกิดจากก้อนเนื้อในสมองมักมีลักษณะพิเศษ คือ อาเจียนพุ่ง โดยไม่มีอาการคลื่นไส้ล่วงหน้า
การกดทับศูนย์ควบคุมประสาทในสมองจากก้อนเนื้อ อาจกระตุ้นให้เกิดการอาเจียนโดยตรง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารหรือระบบย่อยอาหาร
หากอาการปวดหัวรุนแรงเกิดขึ้นพร้อมการอาเจียนลักษณะนี้ โดยเฉพาะในตอนเช้า ควรรีบไปตรวจวัดความดันในกะโหลกศีรษะ

3. ลักษณะและความรุนแรงของอาการปวดหัวเปลี่ยนไป

โดยทั่วไป อาการปวดหัวจากสาเหตุทั่วไป เช่น ไมเกรน หรือความเครียด มักมีรูปแบบและตำแหน่งค่อนข้างคงที่ แต่หากคุณสังเกตว่าอาการปวดหัวเปลี่ยนไปจากเดิม หรือมีความถี่และความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
อาการปวดหัวจากก้อนเนื้อมักแย่ลงเรื่อย ๆ เนื่องจากขนาดของก้อนเพิ่มขึ้นและกดทับต่อเนื้อสมองรอบข้าง การเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลันของลักษณะอาการควรได้รับการตรวจโดยแพทย์ทันที

4. ปวดหัวร่วมกับอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่

อาการปวดหัวที่เป็นสัญญาณอันตราย มักเกิดร่วมกับอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ ซึ่งบ่งชี้ว่าบริเวณหนึ่งของสมองอาจถูกกดทับหรือเสียหาย อาการเหล่านี้ได้แก่

• ความผิดปกติทางการมองเห็น เช่น มองเห็นไม่ชัด เห็นภาพซ้อน หรือสูญเสียการมองเห็นบางส่วน

• กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือชา เช่น แขน ขา หรือใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง

• ความผิดปกติทางการพูด เช่น พูดติดขัด หรือเข้าใจคำพูดของผู้อื่นได้ยาก

• การเปลี่ยนแปลงด้านความคิดและพฤติกรรม เช่น ความจำเสื่อม หรือลักษณะนิสัยเปลี่ยนไป

• อาการชัก โดยไม่มีสาเหตุชัดเจน