กรณีแปลกที่เกิดขึ้นในเมืองฝูโจว ประเทศจีน สร้างความตกตะลึงให้แพทย์อย่างมาก
ชายวัย 46 ปีรายหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกชื่อว่า “คุณหลิน” (นามสมมติ) ป่วยมีไข้สูงต่อเนื่องถึง 10 วันเต็ม จนตับและไตได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง

แต่สิ่งที่ทำให้ทีมแพทย์ถึงกับ “อึ้ง” คือ สาเหตุของโรคกลับมาจาก... นกเลี้ยงตัวเล็ก ๆ ที่เขาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อทุกวัน

พกนกไว้ในเสื้อทุกวันจนป่วย

เนื่องจากอาชีพของคุณหลินเป็นคนขับรถทางไกล เขาซื้อนกตัวเล็กมาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนระหว่างทำงาน แต่เพราะไม่มีเวลาดูแล เขาจึง “คิดวิธีใหม่” โดยใส่นกไว้ในกระเป๋าเสื้อทุกวัน ขณะขับรถหรือพักระหว่างทางก็จะหยิบออกมาเล่น

ไม่กี่วันต่อมา เขาเริ่มมีอาการไข้สูงถึง 38.7 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ไอแห้ง อ่อนเพลีย คิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา จึงกินยาแก้ไข้เอง

แต่ไข้กลับไม่ลดลง กลับเป็น ๆ หาย ๆ ติดต่อกันถึง 10 วัน จนเริ่มมีอาการปวดหัว ซึม และตอบสนองช้าลง ครอบครัวจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล

ตรวจพบปอดอักเสบ ตับไตอักเสบ

ผลตรวจพบว่า ปอดส่วนล่างทั้งสองข้างอักเสบ ตับและไตทำงานผิดปกติ ค่าอักเสบในเลือดพุ่งสูงผิดปกติ
เมื่อแพทย์สอบถามประวัติการใช้ชีวิต และได้ยินเรื่อง “ใส่นกไว้ในกระเป๋าเสื้อ” ทีมผู้เชี่ยวชาญจึงเริ่มสงสัยว่าเขาอาจติดเชื้อ Chlamydia psittaci หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ไข้นกแก้ว (Psittacosis)”

ผลตรวจทางห้องแล็บและการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อโรคยืนยันว่าเขาติดเชื้อชนิดนี้จริง

หลังจากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ Doxycycline ร่วมกับยาต้านเชื้อเฉพาะทาง อุณหภูมิร่างกายของเขากลับมาเป็นปกติ การอักเสบลดลง และออกจากโรงพยาบาลได้ภายใน 7 วัน

หมอเตือน: โรค “ไข้นกแก้ว” อันตรายกว่าที่คิด

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า โรคไข้นกแก้วเป็น โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน (Zoonosis) ที่พบได้ในนกหลายชนิด ไม่เพียงแต่นกแก้วเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไก่ เป็ด ห่าน หรือนกป่าที่อยู่ตามธรรมชาติด้วย

แม้จะเคยป่วยมาก่อน แต่ร่างกายไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันถาวร จึงสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีก

เส้นทางการติดเชื้อหลัก 2 ทาง

1. การสูดดมเชื้อจากอากาศ: จากฝุ่นละอองหรือมูลนก ปัสสาวะ และสารคัดหลั่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ปิดหรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก

2. การสัมผัสผ่านบาดแผล: ถูกนกจิก ข่วน หรือมือมีแผลแล้วสัมผัสกับมูลหรือของเหลวจากนก เช่น ระหว่างทำความสะอาดกรงหรือจับไก่สด

อาการและระยะฟักตัว

โรคนี้อาจมีระยะฟักตัวตั้งแต่ 5–14 วัน หรืออาจนานถึง 45 วัน โดยไม่มีอาการใด ๆ
เมื่อเริ่มป่วย มักมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้สูง ไอแห้ง ปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้

หากรุนแรงอาจลุกลามไปที่ ปอด หัวใจ ตับ ไต หรือสมอง ทำให้เกิดภาวะอันตราย เช่น หัวใจอักเสบ ไตวาย ตับอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

วิธีป้องกันโรคไข้นกแก้ว

• หลีกเลี่ยงการสัมผัสมูลนกหรือฝุ่นในกรง

• สวมหน้ากากและถุงมือขณะทำความสะอาดกรงหรือจับสัตว์ปีก

• ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งหลังสัมผัสนกหรือสัตว์ปีก

• ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงมาไว้ใกล้ร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและหน้าอก

โรคไข้นกแก้วแม้จะพบไม่บ่อย แต่ก็สามารถคุกคามชีวิตได้หากวินิจฉัยช้า
เพราะฉะนั้น... อย่าเอานกไว้ในกระเป๋าเสื้ออีกเลย