กะหล่ำปลี (Cabbage) เป็นผักที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและการย่อยอาหาร แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ไม่ควรกินกะหล่ำปลี เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าใครบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงการกินกะหล่ำปลี

1. คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย แต่สำหรับคนที่มีปัญหากับการย่อยอาหารหรือมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปัญหากับลำไส้ เช่น ผู้ที่มีโรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน กะหล่ำปลีอาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนในท้อง หรืออาการท้องอืดเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงการกินกะหล่ำปลีหรือกินในปริมาณที่น้อย

2. คนที่มีโรคไทรอยด์
กะหล่ำปลีจัดเป็นผักในกลุ่มกะหล่ำชนิดหนึ่ง ซึ่งมีสารที่เรียกว่า "โกลโกซิโนเลต" (Goitrogen) ที่สามารถยับยั้งการทำงานของไทรอยด์ในร่างกาย หากรับประทานในปริมาณมากหรือเป็นประจำอาจส่งผลให้เกิดปัญหากับการทำงานของต่อมไทรอยด์ โดยเฉพาะในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคไทรอยด์ เช่น โรคคอพอก หรือภาวะฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ

3. คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด
กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีวิตามิน K สูง ซึ่งมีบทบาทในการช่วยกระตุ้นการแข็งตัวของเลือด หากคุณกำลังทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน (Warfarin) หรือยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด การกินกะหล่ำปลีในปริมาณมากอาจทำให้การทำงานของยาผิดปกติและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการแข็งตัวของเลือด

4. คนที่มีปัญหากับอาการแพ้ผัก
แม้ว่ากะหล่ำปลีจะเป็นผักที่มีประโยชน์ แต่บางคนอาจมีอาการแพ้ผักประเภทกะหล่ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน บวม หรืออาการแสบคันในลำคอ ดังนั้นผู้ที่มีประวัติการแพ้ผักชนิดนี้ควรหลีกเลี่ยงการทานกะหล่ำปลี

5. คนที่มีปัญหากับการดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุ
กะหล่ำปลีเป็นผักที่มีสารที่เรียกว่า "ไฟติน" (Phytates) ซึ่งอาจลดการดูดซึมของแร่ธาตุบางชนิด เช่น ธาตุเหล็กและแคลเซียม หากคุณเป็นคนที่มีปัญหาการดูดซึมแร่ธาตุหรือขาดแคลเซียมและธาตุเหล็ก ควรหลีกเลี่ยงการทานกะหล่ำปลีในปริมาณมาก

สรุป
แม้กะหล่ำปลีจะเป็นผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีปัญหากับระบบย่อยอาหาร โรคไทรอยด์ โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือผู้ที่แพ้ผักประเภทกะหล่ำ ควรหลีกเลี่ยงการทานกะหล่ำปลีหรือปรึกษาแพทย์ก่อนการทานหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับประทานผักชนิดนี้