บรรพบุรุษของเราได้สอนไว้ว่า: แม้ยากจนแค่ไหน ก็อย่าตัดต้นไม้สามชนิดนี้ เพราะลูกหลานของคุณจะโชคดีในอนาคต

ในวิถีชีวิตของคนโบราณนั้น เต็มไปด้วยภูมิปัญญาและความเชื่อที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หนึ่งในคำสอนที่สำคัญและฝังรากลึกในหัวใจของคนไทยและชาวเอเชียหลายประเทศก็คือ “แม้จะยากจนแค่ไหน ก็อย่าตัดต้นไม้สามชนิดนี้” เพราะเชื่อกันว่าต้นไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ร่มเงาและประโยชน์ทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังนำพาโชคลาภ ความมั่งคั่ง และความเป็นสิริมงคลมาสู่บ้านและลูกหลานในอนาคตอีกด้วย

ต้นไม้สามชนิดที่ว่านี้ ได้แก่ ต้นไทร ต้นโพธิ์ และต้นกล้วย

ต้นไทร เป็นสัญลักษณ์ของร่มเงา ความคุ้มครอง และการเติบโต คนโบราณเชื่อว่าต้นไทรเป็นที่สถิตของวิญญาณผู้คุ้มครองบ้านเมือง หากมีต้นไทรขึ้นอยู่ในบริเวณบ้านหรือใกล้เคียง บ้านหลังนั้นจะมีพลังปกป้องและคุ้มครองจากสิ่งไม่ดี การตัดต้นไทรจึงถูกมองว่าเป็นการขัดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาจนำมาซึ่งความโชคร้าย

ต้นโพธิ์ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในหลายศาสนา โดยเฉพาะในพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์จึงเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา ความรู้แจ้ง และความสงบสุข หากบ้านใดมีต้นโพธิ์อยู่ จะถือว่าเป็นบ้านที่มีบุญ มีปัญญานำทาง และลูกหลานจะได้รับอานิสงส์แห่งความรู้และสติปัญญา

ต้นกล้วย เป็นพืชที่ให้ประโยชน์ทั้งต้น มีความอุดมสมบูรณ์และแพร่ขยายได้ง่าย คนสมัยก่อนถือว่าต้นกล้วยเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญงอกงาม ชีวิตที่ไม่ขาดแคลน และยังใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น พิธีแต่งงาน หรือพิธีตั้งศาล โดยใช้ใบกล้วยหรือหยวกกล้วย ต้นกล้วยจึงเป็นตัวแทนของความดีงามและการเริ่มต้นที่มีพลัง

การไม่ตัดต้นไม้สามชนิดนี้ แม้ในเวลาที่ครอบครัวกำลังลำบาก ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อธรรมชาติและต่อความเชื่อของบรรพบุรุษ พร้อมทั้งเป็นการส่งต่อความหวังและศรัทธาไปยังคนรุ่นหลัง ว่าแม้วันนี้จะลำบาก แต่วันข้างหน้าลูกหลานจะได้รับผลบุญจากการกระทำในวันนี้ และพบเจอกับความโชคดีในชีวิต

ในยุคปัจจุบัน แม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่การเคารพต่อคำสอนของคนรุ่นก่อนยังคงมีความหมาย ต้นไม้ทั้งสามนี้อาจไม่ได้เป็นเพียงแค่ไม้ยืนต้นธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของมรดกทางจิตวิญญาณ ที่หากเรารักษาไว้ได้ ก็เหมือนกับเรากำลังรักษาความมั่งคั่งและความสุขของครอบครัวในอนาคตเช่นกัน