ลูกชายผวา มีเสียงเคาะปริศนาทุกเที่ยงคืน แม่ตัดสินใจ ติดกล้องวงจรปิด เพื่อตามหาความจริง สุดท้ายเจอสิ่งที่ทำเอาอึ้ง ต้นตอใกล้ตัวกว่าที่คิด
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 รายงานจากสื่อต่างประเทศ จากเหตุการณ์ชวนหลอนนึกถึงสิ่งลี้ลับ สู่เรื่องใกล้ตัวที่เหล่าพ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรหันมาใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น เพื่อสุขภาพจิตที่ดีของลูกน้อย
นี้คือเรื่องราวของ เสี่ยวหมิง (นามสมมติ) เด็กชายวัย 10 ขวบ หลังจากย้ายมาอยู่บ้านใหม่ เขาก็มักจะสะดุ้งตื่นกลางดึกยามเที่ยงคืนทุกครั้ง เพราะได้ยินเสียงปริศนา เคาะที่หน้าประตู ดัง “ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก” อยู่เสมอ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ราวหนึ่งเดือน เหมือนฝันร้ายที่ไม่มีวันจบสิ้น
ทว่าทุกครั้งที่พ่อแม่รีบลุกขึ้นมาตรวจสอบ บริเวณทางเดินกลับเงียบสงัด ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลี่เจี้ยน ผู้เป็นพ่อ เขา คือ วิศวกรผู้ชื่นชอบการใช้เหตุผลพยายามหาคำตอบทางวิทยาศาสตร์ มักจะปลอบใจลูกชายว่า เสียงปริศนานั้นอาจเป็น เสียงลม เสียงท่อน้ำ หรือเสียงพื้นไม้ที่ยืดหดก็ได้
แม้จะพยายามปลอบใจลูกด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่ลูกชายก็เริ่มผอมลง ตาคล้ำ หลงลืมการเรียน และมักจะเหม่อลอยในระหว่างวัน นั่นทำให้เขารู้สึกหนักใจและเป็นห่วงลูกอย่างมาก
“ลูกบอกว่าเสียงเคาะประตูเกิดขึ้นทุกคืนค่ะ” นางหวงไป๋ ผู้เป็นแม่กล่าว ทั้งยังเสริมว่า “ทุกครั้งที่ปลอบลูก ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมา แต่เขากลัวจริงๆ”

เมื่อพยายามหาสาเหตุเท่าไรก็ไม่พบ พวกเขาจึงพาลูกไปตรวจสุขภาพทางจิตใจ หมอระบุว่า เสี่ยวหมิง มีอาการผิดปกติในเรื่องการนอนหลับ และมีอาการเดินละเมอ (somnambulism) เด็กในวัยประถมที่ประสบกับความเครียด เช่น การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม ความกดดันจากการเรียน หรือการตำหนิที่รุนแรงอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติในการนอนหลับ (Parasomnia) ในช่วงที่หลับตื้น
สมองยังคงทำงาน และจะสะท้อนความกังวลออกมาในรูปแบบพฤติกรรม เช่น เดินละเมอ พูดละเมอ หรือได้ยินเสียงที่ไม่มีจริง สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่ “พลังงานที่มองไม่เห็น” แต่คือความวิตกกังวลที่สะสมในตัวเด็กที่ไม่รู้วิธีปลดปล่อยมันออก
เมื่อหมอถามเสี่ยวหมิงเกี่ยวกับภาพวาดที่เขาวาดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เด็กชายชี้ไปที่ภาพประตูที่ปิดสนิท ด้านในเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ห่อหุ้มตัวอยู่ ในขณะที่ด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยสีดำ “นั่นคือตัวผมครับ ผมได้ยินเสียงใครบางคนข้างนอก แต่ไม่กล้าเปิดประตู” เขาพูดเบา ๆ
ภาพนั้นทำให้พ่อแม่ของเขานิ่งอึ้ง เพราะหลายครั้งพวกเขามองหาเสียงจากภายนอก แต่กลับลืมไปว่าความกลัวของลูกนั้นเกิดจากภายในตัวเขาเอง
ในคืนนั้น พ่อได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดหน้าห้องของลูกเพื่อ “ไขปริศนา” กลางดึก
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน เสียง “ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก” ดังขึ้นจริง ๆ ไมโครโฟนของกล้องบันทึกเสียงได้อย่างชัดเจน แต่ภาพในกล้องกลับเป็นภาพว่างเปล่า
ผู้เป็นพ่อย้อนกลับไปดูหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็ค้นพบว่าเสียงนั้นมาจากภายในห้อง เสียงสะท้อนผ่านประตูไม้และถูกไมโครโฟนที่ติดตั้งในทางเดินบันทึกไว้ไม่ผิดเพี้ยน ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เสี่ยวหมิงเปิดประตูออกมา ตาของเขาปิดสนิท เดินไปสองสามก้าวแล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง เขากำลังเดินละเมอจริงๆ

ในขณะนั้น พ่อก็เข้าใจในที่สุดว่า เสียงเคาะประตูที่ลูกกลัวมาตลอดไม่ใช่สิ่งลี้ลับใด ๆ แต่เกิดจากอาการละเมอของตนเอง ทำให้เขาตะหนักได้ทันทีว่าจะต้องอธิบายเรื่องดังกล่าวให้ลูกเข้าใจ มิเช่นนั้น ความกลัวของลูกอาจกลายเป็น “เสียงเคาะ” ที่ไม่มีตัวตนในสมองของเด็กได้
หลังจากคืนนั้น ทั้งคู่เปลี่ยนวิธีการเข้าหาลูก แทนที่จะดุหรือต่อว่า พวกเขาเลือกที่จะช่วยลูกให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น พวกเขาหยุดให้เสี่ยวหมิงอ่านหนังสือจนดึกเกินไป ลดความคาดหวังในเรื่องคะแนนการเรียน และเริ่มอ่านหนังสือร่วมกับลูกก่อนนอน ปรับแสงไฟให้เป็นสีเหลืองอ่อน และปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อนนอนอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง พวกเขายังพูดคุยกับลูกมากขึ้น ถามไถ่เรื่องราวในโรงเรียน เรื่องราวความสุขและความทุกข์ เสี่ยวหมิงเริ่มเปิดใจมากขึ้นและไม่เก็บความกลัวไว้ในใจอีกต่อไป
หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ อาการของลูกชายดีขึ้น เขาเริ่มนอนหลับลึกขึ้น ยิ้มบ่อยขึ้น
เหตุการณ์ข้างต้นที่ดูเหมือนจะลึกลับ กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในหลายครอบครัวในปัจจุบัน เมื่อเด็กต้องเผชิญกับความเครียดจากการเรียนที่หนักหน่วง สมองของเด็กจะตอบสนองด้วยสัญญาณที่ผิดปกติ เช่น การเดินละเมอ พูดละเมอ หรือการกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้
หากพ่อแม่รีบตัดสินว่าเป็น “วิญญาณ” หรือ “โชคชะตาที่ไม่ดี” พวกเขาจะพลาดโอกาสที่จะช่วยให้ลูกมีจิตใจที่สมดุลและฟื้นฟูการนอนที่ดีขึ้นได้ สิ่งที่ลูกต้องการคือพื้นที่ที่ปลอดภัยและผู้ที่พร้อมฟังพวกเขาอย่างแท้จริง