ข่าว 30/10/2025 18:03

ทำไมไม่ควรใช้หม้ออะลูมิเนียมที่ใช้นานเกินไปในการทำอาหาร?

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรใช้หม้ออะลูมิเนียมที่ใช้งานมานาน โดยเฉพาะเมื่อใช้ปรุงอาหารที่มีรสเปรี้ยว แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?

ในอดีต หม้ออะลูมิเนียมเคยเป็นเครื่องครัวที่พบได้ในเกือบทุกครัวเรือน เพราะมีราคาถูก นำความร้อนได้ดี และใช้งานสะดวก แม้ปัจจุบันยังมีคนจำนวนมากนิยมใช้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ว่า การใช้หม้ออะลูมิเนียมเก่าที่มีรอยขีดข่วน ผิวลอก หรือเกิดการกัดกร่อนนั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้

เหตุผลที่ไม่ควรใช้หม้ออะลูมิเนียมที่ใช้นานเกินไปในการทำอาหาร

ตามการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ การใช้หม้ออะลูมิเนียมในการปรุงอาหารถือว่าไม่ถูกหลักวิทยาศาสตร์ เนื่องจากอะลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีปฏิกิริยาเคมีสูง โดยเฉพาะเมื่อได้รับความร้อนและสัมผัสกับอาหารที่มีความเป็นกรดหรือด่าง เช่น อาหารรสเปรี้ยวหรือเค็ม จะเกิดปฏิกิริยาเคมีทำให้เกิดสารประกอบอะลูมิเนียม สารนี้สามารถละลายเข้าสู่อาหาร และเมื่อร่างกายรับประทานเข้าไป อะลูมิเนียมจะสะสมอยู่ในตับ ม้าม ไต และสมอง

Sử dụng nồi nhôm theo cách này, vừa nấu ăn không ngon lại còn gây bệnh

หม้ออะลูมิเนียมเก่าอาจปล่อยโลหะปนเปื้อนสู่อาหารได้ง่าย

อะลูมิเนียมเป็นโลหะที่มีน้ำหนักเบา นำความร้อนได้ดีและขึ้นรูปได้ง่าย จึงถูกนำมาใช้ทำหม้อ กระทะ และภาชนะต่าง ๆ มายาวนาน อย่างไรก็ตาม อะลูมิเนียมไม่ใช่โลหะเฉื่อย หมายความว่ามันสามารถเกิดการกัดกร่อนและทำปฏิกิริยาทางเคมีกับอาหารได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น แกงส้ม มะเขือเทศ ผักดอง น้ำปลา หรือน้ำมะนาว

เมื่อหม้ออะลูมิเนียมเก่ามีรอยขีดข่วน หรือชั้นออกไซด์ที่ป้องกันพื้นผิวถูกสึกหรอ ไอออนของอะลูมิเนียมอาจละลายเข้าสู่อาหารระหว่างการปรุง การบริโภคอาหารที่มีอะลูมิเนียมปนเปื้อนในระยะยาว อาจเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพหลายประการ เช่น ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ความเสียหายของระบบประสาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์

ผลกระทบต่อระบบประสาทและความจำ

งานวิจัยทางการแพทย์หลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการสะสมของอะลูมิเนียมในร่างกายกับความเสี่ยงในการสูญเสียความจำและภาวะสมองเสื่อม แม้ว่ายังมีการถกเถียงในวงการวิทยาศาสตร์ แต่หน่วยงานด้านสาธารณสุขส่วนใหญ่ก็ยังแนะนำให้ลดการรับอะลูมิเนียมจากอาหารให้มากที่สุด

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่าปริมาณอะลูมิเนียมที่ร่างกายควรได้รับต่อสัปดาห์ไม่ควรเกิน 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ขณะที่ผลการวิจัยในเอเชียบางฉบับพบว่า อาหารที่ปรุงด้วยหม้ออะลูมิเนียมเก่าสามารถมีปริมาณอะลูมิเนียมตั้งแต่ 5–15 มิลลิกรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารและระดับความสึกหรอของหม้อ

หากใช้หม้ออะลูมิเนียมเก่าเป็นเวลานาน อะลูมิเนียมจะสะสมในร่างกายและส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีระบบประสาทอ่อนไหวและไวต่อโลหะหนัก

Sử dụng nồi nhôm có an toàn cho sức khỏe không?

เกิดปฏิกิริยาง่ายกับอาหารที่มีกรดหรือด่าง

หนึ่งในข้อเสียสำคัญของหม้ออะลูมิเนียมคือความสามารถในการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับอาหารที่มีความเป็นกรด (เช่น น้ำส้มสายชู มะนาว มะเขือเทศ) หรือด่าง (เช่น เบกกิ้งโซดา หรือผักบางชนิดที่มีความเป็นด่างอ่อน ๆ) เมื่อปรุงอาหารประเภทนี้ อะลูมิเนียมในหม้ออาจละลายเข้าสู่อาหาร ทำให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะในอาหาร

ผลที่ตามมานอกจากจะทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนไปแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดอาการไม่สบายท้อง คลื่นไส้ หรือแม้กระทั่งภาวะเป็นพิษเล็กน้อย หากปริมาณอะลูมิเนียมในอาหารสูงเกินระดับที่ปลอดภัย

หม้ออะลูมิเนียมเก่าง่ายต่อการกัดกร่อน ลอกล่อน และบิดงอ

เมื่อใช้หม้ออะลูมิเนียมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อโดนความร้อนสูงบ่อยครั้ง หม้อจะเริ่มมีสัญญาณเสื่อมสภาพ เช่น ด้านในหม้อมีคราบดำ ผิวหม้อลอกออก มีรอยนูนหรือบุบ ทำให้การกระจายความร้อนไม่สม่ำเสมอ หม้อที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้อาหารสุกไม่ทั่วเท่านั้น แต่ยังเพิ่มโอกาสให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้โลหะอะลูมิเนียมละลายปนเปื้อนในอาหารได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้ อะลูมิเนียมยังไวต่อการกัดกร่อนจากเกลือ ดังนั้น หากมักใช้หม้ออะลูมิเนียมเก่าในการต้มซุป เคี่ยวเนื้อ หรือน้ำซุปที่ใส่เกลือหรือเครื่องปรุงตั้งแต่ต้น โอกาสที่ร่างกายจะได้รับอะลูมิเนียมก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก

ไม่ปลอดภัยเมื่อใช้ปรุงอาหารที่ต้องใช้เวลาต้มหรือตุ๋นนาน

สิ่งที่ควรสังเกตคือ ยิ่งเวลาปรุงอาหารนานเท่าไร ปริมาณอะลูมิเนียมที่ละลายออกจากหม้อเข้าสู่อาหารก็จะยิ่งมากขึ้น ดังนั้น หม้ออะลูมิเนียมจึงไม่เหมาะสำหรับการทำอาหารที่ต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน เช่น ต้มกระดูก ทำโจ๊ก ตุ๋นน้ำซุป หรือแกงที่ต้องใช้เวลาเคี่ยวนาน

การอุ่นอาหารซ้ำ ๆ ในหม้ออะลูมิเนียมเก่าก็เป็นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะการให้ความร้อนหลายครั้งจะทำให้รอยขีดข่วนในหม้อเกิดการออกซิไดซ์มากขึ้น ส่งผลให้ไอออนอะลูมิเนียมถูกปล่อยออกมามากกว่าเดิม

เด็กและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่ไวต่อโลหะหนักและสารพิษตกค้างเป็นพิเศษ ระบบภูมิคุ้มกันและการขับพิษของเด็กยังไม่สมบูรณ์ ในขณะที่ผู้สูงอายุก็มีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหายของระบบประสาทได้ง่าย การปรุงอาหารหรือโจ๊กสำหรับเด็กด้วยหม้ออะลูมิเนียมเก่า อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองและร่างกาย ส่วนในผู้สูงอายุ การใช้หม้ออะลูมิเนียมที่สึกกร่อนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ปวดหัวเรื้อรัง หรือการรับรู้ลดลง

ควรเปลี่ยนมาใช้หม้อที่ปลอดภัยมากกว่า

ในปัจจุบันมีหม้อหลายประเภทที่ปลอดภัยกว่าเมื่อเทียบกับหม้ออะลูมิเนียมแบบดั้งเดิม เช่น

  • หม้อสแตนเลส 304 (เกรดพรีเมียม): ไม่ทำปฏิกิริยากับอาหาร ทนทาน และมีอายุการใช้งานยาวนาน

  • หม้อเหล็กเคลือบอีนาเมล: เก็บความร้อนได้ดี เหมาะสำหรับการตุ๋นหรือเคี่ยวอาหาร

  • หม้อเซรามิกหรือแก้วทนความร้อน: ไม่เกิดปฏิกิริยากับกรดหรือด่าง ปลอดภัยอย่างยิ่งเมื่อใช้ปรุงโจ๊กหรือซุป

  • หม้อเคลือบกันติดคุณภาพสูงที่ได้รับการรับรองความปลอดภัย: ทำความสะอาดง่าย และไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันมาก

แม้ว่าราคาของหม้อประเภทนี้อาจสูงกว่าหม้ออะลูมิเนียมทั่วไป แต่ก็ช่วยปกป้องสุขภาพในระยะยาวได้ดีกว่า โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับอาหารปลอดภัยและสุขอนามัยในครัว

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่