ความจริง 08/11/2025 04:30

"อายุรวมของพ่อกับลูกสาวคือ 100 ปี พ่ออายุ 50 ปี แล้วลูกสาวอายุเท่าไหร่?" นักเรียนตอบว่า 50 ปี แต่ค

คณิตศาสตร์ไม่ใช่แค่การคำนวณตัวเลขเท่านั้น บางครั้งการตั้งโจทย์และการสื่อสารให้ชัดเจนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นตัวกำหนดความถูกต้องของคำตอบ และช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะการให้เหตุผลเชิงตรรกะได้มากขึ้น

ไม่นานมานี้มีแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ระดับประถมที่ดูเหมือนง่าย แต่กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในสังคมออนไลน์ของจีน แบบฝึกหัดนี้ถูกโพสต์โดยผู้ปกครองของเด็กประถมคนหนึ่ง ซึ่งรู้สึกไม่พอใจเพราะลูกของเขาทำถูกต้องแต่กลับถูกคุณครูกาข้อผิด
Image preview

โจทย์ระบุว่า: “อายุรวมของพ่อและลูกสาวคือ 100 ปี พ่ออายุ 50 ปี ถามว่าลูกสาวอายุเท่าไร”

เด็กนักเรียนประถมทำการคำนวณว่า 100 - 50 = 50 (ปี) และตอบว่าลูกสาวอายุ 50 ปี แต่คุณครูได้ใช้ปากกาสีแดงขีดว่า “ผิด”
ดังนั้น ประเด็นหลักในที่นี้อาจอยู่ที่การตั้งโจทย์ที่ไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้นักเรียนเข้าใจผิดและตอบไม่ตรงกับสิ่งที่ครูคาดหวัง อย่างไรก็ตาม ก็มีบางคนให้เหตุผลว่า คำตอบของนักเรียนอาจไม่ได้ผิดทั้งหมด เพราะหาก “พ่อ” ในที่นี้หมายถึงพ่อเลี้ยง ลูกสาวก็อาจมีอายุเท่ากับพ่อ หรือหากพ่อเสียชีวิตเมื่ออายุ 50 ปี ขณะที่ลูกสาวตอนนี้มีชีวิตอยู่และอายุ 50 ปี ก็ถือว่าไม่ผิดเช่นกัน

บางคนเสนอคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกว่า คือพ่อมีลูกสาวฝาแฝดสองคน พ่ออายุ 50 ปี ลูกสาวสองคนอายุคนละ 25 ปี รวมกันเป็น 100 ปี ซึ่งฟังดูสมเหตุสมผลมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ทุกคนเห็นพ้องกันว่านี่เป็น “โจทย์ประหลาด” ที่ควรให้ครูผู้สอนชี้แจงเพิ่มเติม เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด และช่วยให้นักเรียนสามารถให้คำตอบได้ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น

ผู้ปกครองหลายคนก็แสดงความคิดเห็นว่า หากลูกของตนเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คงจะรู้สึกสับสนไม่น้อย “ตามปกติแล้ว หากอายุรวมเป็น 100 ปี ลบด้วยอายุของพ่อ 50 ปี ก็เหลือ 50 ปี ซึ่งนั่นก็คืออายุของลูกสาว จะผิดได้อย่างไร?”

คำถามแบบนี้ทำให้ผู้ปกครองตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับวิธีออกแบบโจทย์คณิตศาสตร์ บางคนเสนอว่า ควรเปลี่ยนคำถามเป็น “ความแตกต่างระหว่างอายุของพ่อและลูกสาวคือเท่าไร” จะชัดเจนกว่าและไม่ทำให้เด็กเข้าใจผิด

ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาอธิบายว่า คำถามลักษณะนี้แม้ดูเหมือนง่าย แต่แท้จริงแล้วไม่เพียงทดสอบพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เท่านั้น ยังต้องการให้เด็กมีทักษะการให้เหตุผลเชิงตรรกะด้วย และหากการตั้งโจทย์ไม่ชัดเจน ก็จะทำให้เด็กเข้าใจผิดได้ง่าย ดังนั้น ครูและผู้ที่ออกข้อสอบควรใส่ใจในความถูกต้องและความชัดเจนของคำถามมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงข้อถกเถียงที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ปกครอง ที่ควรสอนให้ลูกมีทักษะการทำโจทย์อย่างรอบคอบ และหากมีสิ่งใดไม่ชัดเจนควรสอบถามครูทันที เพื่อไม่ให้เสียคะแนนอย่างไม่ยุติธรรม


1. การอ่านและทำความเข้าใจโจทย์
อ่านอย่างละเอียด: สอนให้เด็กอ่านโจทย์อย่างตั้งใจ
ระบุข้อมูล: ช่วยให้เด็กหาข้อมูลสำคัญในโจทย์ เช่น ตัวเลขและสิ่งที่โจทย์ถาม

2. การระบุสิ่งที่โจทย์ถาม
คำถามหลัก: ถามเด็กว่าโจทย์ต้องการให้ทำอะไร (เช่น บวก ลบ คูณ หาร หรือหาค่ามากที่สุด ฯลฯ)
อธิบายใหม่: ให้เด็กลองอธิบายสิ่งที่โจทย์ถามด้วยคำพูดของตนเอง

3. การวางแผนการแก้โจทย์
เลือกวิธีการ: ถามเด็กว่าสามารถใช้วิธีไหนในการแก้โจทย์ได้ (บวก ลบ คูณ หาร)
วาดภาพประกอบ: หากจำเป็น ให้เด็กวาดภาพหรือ sơ đồ เพื่อช่วยในการมองเห็นโจทย์ชัดเจนขึ้น

4. การแก้โจทย์
ทำตามขั้นตอน: สอนให้เด็กทำตามวิธีที่เลือกไว้อย่างเป็นระบบ
จดบันทึก: ให้เด็กบันทึกขั้นตอนการทำเพื่อสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

5. การตรวจคำตอบ
ตรวจสอบอีกครั้ง: หลังได้คำตอบ ให้เด็กลองตรวจสอบว่าคำตอบสมเหตุสมผลไหม
เปรียบเทียบ: หากมีโจทย์คล้ายกัน ให้เด็กลองเทียบดูว่าผลลัพธ์สอดคล้องกันไหม

6. การอธิบายคำตอบ
อธิบายผลลัพธ์: ถามเด็กว่าผลลัพธ์ที่ได้หมายถึงอะไรในชีวิตจริง
ทบทวนข้อผิดพลาด: หากเด็กตอบผิด ให้ช่วยกันวิเคราะห์สาเหตุและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้น

7. การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ฝึกเพิ่มเติม: ให้เด็กทำแบบฝึกหัดหลายรูปแบบ จากง่ายไปยาก เพื่อพัฒนาความเข้าใจและความชำนาญ

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่