สุขภาพ 08/11/2025 04:03

5 อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า "กระตุ้นเซลล์มะเร็ง" ยิ่งกินตอนท้องว่าง ยิ่งเร่งอันตราย

5 อาหารเช้าที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า "กระตุ้นเซลล์มะเร็ง" ยิ่งกินตอนท้องว่าง ยิ่งเร่งอันตราย

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพต่างเตือนว่าโรคมะเร็งไม่ได้เกิดจากพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลสะสมจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี 5 อาหาร หรือรูปแบบการกินที่หลายคนคุ้นเคยกันดี ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ผู้สมรู้ร่วมคิด" ที่อาจซ่อนเร้นและกระตุ้นเซลล์มะเร็งอย่างเงียบ ๆ ได้ตลอดเวลา

สิ่งที่น่ากังวลไปกว่านั้นคือ การรับประทานอาหารเหล่านี้ในช่วงเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีการดูดซึมและเผาผลาญสารอาหารอย่างเข้มข้น ในขณะที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่า การกินอาหารเสี่ยงเหล่านี้ในตอนเช้าจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและเร่งอัตราการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น

1. อาหารที่มีอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศาเซลเซียส

การดื่มชา กาแฟ หรือรับประทานโจ๊ก/ซุปที่ร้อนจัดจนมีควันขึ้นในตอนเช้า ถือเป็นนิสัยที่หลายคนทำกัน โดยเฉพาะในช่วงอากาศเย็น แม้จะดูเป็นเรื่องปกติ แต่การรับประทานอาหารร้อนเป็นประจำเช่นนี้กลับเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำ ๆ ให้แก่ร่างกาย องค์การระหว่างประเทศเพื่อการวิจัยโรคมะเร็ง (IARC) ได้จัดประเภทอาหารที่อุณหภูมิเกิน 60 องศาเซลเซียส ให้เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม 2A

ความเสียหายที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทุกเช้าจะนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังบริเวณเยื่อบุในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งการอักเสบเรื้อรังนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการพัฒนาของมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งในช่องปาก ที่สำคัญคือพฤติกรรมนี้ทำให้เยื่อบุมีความหนาขึ้นและสูญเสียความไวต่อความร้อน ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารร้อนจัดเป็นประจำไม่ค่อยรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังเกิดขึ้น

2. เนื้อสัตว์และปลาปิ้งย่าง หรือรมควัน

การปิ้งย่าง รมควัน หรือการทำให้อาหารมีรอยไหม้เกรียมนั้น มักจะสร้างรสชาติที่หอมอร่อยดึงดูดใจ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเสี่ยงในการก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่รุนแรง ในกระบวนการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงนี้ จะมีการสร้างสารเฮเทอโรไซคลิกเอมีน และสารไฮโดรคาร์บอนอะโรมาติกชนิดวงแหวนหลายชั้น (Benzopyrene) ขึ้นมา ซึ่งสารเหล่านี้มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดีเอ็นเอภายในร่างกายมนุษย์ได้

การรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไหม้เกรียมหรือรมควันในตอนเช้าขณะที่ระบบย่อยอาหารยังว่างเปล่า จะทำให้สารก่อมะเร็งเหล่านี้สามารถซึมซับเข้าสู่เยื่อบุลำไส้ได้ง่ายและลึกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การบริโภคเนื้อรมควันเป็นประจำยังเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก เนื่องจากปริมาณไขมัน คอเลสเตอรอล และโซเดียมที่สูง จะยิ่งทำให้อาการอักเสบเรื้อรังในระบบทางเดินอาหารแย่ลง

3. อาหารที่มีเชื้อราขึ้น

อาหารเช้าทั่วไป เช่น ขนมปัง ขนมหวาน ธัญพืช หรือผลไม้ มักเป็นอาหารที่เชื้อราขึ้นได้ง่าย และหลายคนก็มีนิสัยที่ตัดส่วนที่เป็นราทิ้งแล้วกินส่วนที่เหลือต่อ ซึ่งเป็นการประหยัดที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะสปอร์ของเชื้อราจะผลิตสารพิษที่ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของยีน เช่น อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) และโอคราท็อกซิน เอ (Ochratoxin A)

สารพิษเหล่านี้สลายตัวได้ยากแม้อยู่ในอุณหภูมิสูง และไม่ได้หายไปทั้งหมดเมื่อตัดส่วนที่เป็นราทิ้งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับประทานอาหารที่มีเชื้อราในตอนเช้า จะทำให้ตับต้องทำงานหนักทันทีเพื่อกำจัดอะฟลาท็อกซินจำนวนมาก ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เป็นกลุ่มสารก่อมะเร็งประเภทที่ 1 ความตึงเครียดของตับนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับและมะเร็งถุงน้ำดีอย่างรวดเร็ว เพราะสารพิษจะเข้าทำลายเซลล์ตับโดยตรงเมื่อถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว

4. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (เบียร์, สุรา)

แม้จะไม่ใช่พฤติกรรมที่พบได้บ่อย แต่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในตอนเช้าถือเป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่เร่งให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง เอทานอลในแอลกอฮอล์จะถูกเปลี่ยนเป็นสารอะซีทาลดีไฮด์ (Acetaldehyde) ในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์และสายดีเอ็นเอ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะท้องว่างตอนเช้า จะทำให้แอลกอฮอล์ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็วและมีความเข้มข้นสูงขึ้นอย่างกะทันหัน

สภาวะดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงและเร่งอัตราการทำลายเซลล์ตับ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับอย่างมาก นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งกระเพาะอาหารอีกด้วย เนื่องจากแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นเยื่อบุในกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าอย่างรุนแรง

5. ปลาเค็มและผักดอง

ปลาเค็มและผักดองเป็นอาหารที่คุ้นเคย และหลายคนเลือกรับประทานเป็นอาหารเช้าเพราะกระตุ้นความอยากอาหาร เตรียมง่าย หรือสามารถเก็บไว้ได้นาน อย่างไรก็ตาม อาหารเหล่านี้อาจมีสารกันบูด เกลือ และไนเตรตในปริมาณมาก องค์การอนามัยโลกจัดให้ปลาเค็มเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มที่ 1 เพราะกระบวนการทำเค็มทำให้เกิดสารไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่มีฤทธิ์รุนแรง

เมื่อรับประทานผักดองหรือปลาเค็มในตอนเช้าขณะที่ท้องว่าง กรดในกระเพาะอาหารจะเปลี่ยนไนเตรตให้เป็นไนโตรซามีนด้วยประสิทธิภาพที่สูงกว่าปกติ สารนี้จะทำลายเยื่อบุในกระเพาะอาหารได้ง่าย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งหลังโพรงจมูก มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งกระเพาะอาหารอย่างมาก นอกจากนี้ ปริมาณโซเดียมที่สูงยังเพิ่มโอกาสของการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเร่งกระบวนการก่อตัวของเซลล์มะเร็งให้เร็วขึ้นอีกด้วย

สรุปแนวทางลดความเสี่ยงมะเร็งจากอาหารเช้า

เพื่อลดความเสี่ยง ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค 5 อาหาร หรือรูปแบบการกินดังกล่าวในช่วงเช้าที่ร่างกายกำลังอ่อนแอและพร้อมดูดซึมสารต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้าให้ถูกสุขลักษณะและครบถ้วน จะเป็นเกราะป้องกันชั้นดีจากความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในระยะยาว

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่