มีมิตรภาพบางอย่างที่ไม่เอะอะ ไม่ต้องเอ่ยคำสาบานใด ๆ เพียงแค่เงียบงันเดินเคียงกันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต และก็มีมิตรภาพบางอย่าง ที่เมื่อคนหนึ่งจากไปนอนอยู่ใต้ผืนดินสีทองแล้ว คนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงเพิ่งตระหนักว่า ความผูกพันบางชนิดนั้น ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้
เมื่อไม่นานมานี้ โลกออนไลน์ของจีนต่างพูดถึงโพสต์ยาวชิ้นหนึ่งของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคนหนึ่ง ซึ่งเล่าเรื่องเพื่อนสนิทที่สุดของเขาที่จากไปแล้วกว่าสามปี บทความนั้นไม่มีจุดพีคเร้าอารมณ์ ไม่ได้ตั้งใจเรียกน้ำตา แต่กลับทำให้ผู้คนนับล้านเงียบงันเมื่ออ่านถึงบรรทัดสุดท้าย เพียงไม่กี่วันหลังเผยแพร่ โพสต์นี้ได้รับยอดกดถูกใจกว่า 7 ล้านครั้ง พร้อมความคิดเห็นนับแสน กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวมิตรภาพที่ถูกส่งต่อมากที่สุดในช่วงเวลานี้

ตัวเอกของเรื่องคือ จาง เหอชิง วัย 58 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์และอาจารย์ที่ปรึกษาระดับปริญญาเอก คณะการจัดการ (สถาบันท่องเที่ยวฝรั่งเศส–จีน) มหาวิทยาลัยกวางโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน แต่เรื่องที่เขาเล่าไม่ได้เริ่มจากตำแหน่งหรือเกียรติยศ หากเริ่มต้นจาก “ไข่ไก่สองฟอง” สิ่งที่เขาพกติดตัวขึ้นสอนไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มิตรภาพที่เริ่มต้นจากหอพักอันยากจน
เรื่องราวพาผู้อ่านย้อนกลับไปปี 1986 วันแรกที่จาง เหอชิง เข้ามหาวิทยาลัย เขาหิ้วกระเป๋าผ้าเก่า ๆ เดินเข้าหอพัก และพบชายหนุ่มรูปร่างท้วมคนหนึ่งกำลังจัดของอยู่ ชายคนนั้นยิ้มกว้าง ทักทายอย่างเป็นกันเอง และยื่นไข่ไก่สองฟองให้เป็นของขวัญจากบ้านนอกที่หายากในสมัยนั้น
เพื่อนคนนั้นชื่อ หลิว อี้จู
ทั้งสองมาจากชนบท ครอบครัวยากจน และมักล้อกันเองว่าเป็น “มะระสองลูกบนเถาเดียวกัน” ครอบครัวของหลิว อี้จู มีสมาชิกถึงเก้าคน ไข่สองฟองที่นำมามหาวิทยาลัยในวันนั้นคือความประหยัดอดออมอย่างแท้จริง ตลอดสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย พวกเขาใช้ชีวิตแบบมื้อหนึ่งอิ่ม มื้อหนึ่งหิว ต้องคิดทุกวิธีเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะช่วยกันออกค่าอาหาร เช้าดูแลกันเอง กลางวันและเย็นสั่งอาหารราคาถูกที่สุดในโรงอาหารสามอย่าง—หนึ่งอย่างมีเนื้อ สองอย่างผัก—แล้วแบ่งกันกิน เต้าหู้ราคาไม่กี่เหรียญก็แบ่งกันคนละครึ่ง ส่วนเนื้อที่หาได้ยาก หลิว อี้จู มักคีบให้จาง เหอชิง เสมอ พร้อมบอกว่าเพื่อนของเขาหัวไว ควรได้บำรุงเพื่อเรียนต่อให้สูงขึ้น
ในหอพัก หลิว อี้จู เป็นคนเงียบที่สุด ปลายขากางเกงยังเปื้อนโคลน สำเนียงท้องถิ่นชัดเจน ครั้งแรกที่เข้าโรงอาหารยังออกเสียงคำว่า “ข้าว” ผิด แต่ไม่มีใครหัวเราะเยาะ เพราะเขาเป็นคนขยันที่สุด น้ำร้อนในห้องเขาเป็นคนไปตัก พื้นห้องเขาเป็นคนถู ผ้าห่มของใครหล่นพื้น เขาก็เงียบ ๆ พับเก็บให้

จาง เหอชิง เป็นคนก้มหน้าก้มตาเรียน ส่วนหลิว อี้จู เป็นคนทำงานหนัก คนสองแบบที่ดูต่างกัน กลับกลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุด
พื้นฐานภาษาอังกฤษที่อ่อนทำให้หลิว อี้จู ลำบากทุกครั้งในช่วงสอบ ทุกคืนหลังไฟหอพักดับ ทั้งคู่จะนั่งยอง ๆ ใต้แสงไฟทางเดิน จาง เหอชิง อธิบายคำศัพท์และไวยากรณ์ ส่วนหลิว อี้จู ก้มหน้าจดด้วยดินสอ บางครั้งอธิบายจนเสียงแหบ หงุดหงิดบ้าง หลิว อี้จู ก็เพียงยิ้มอ่อน ขอให้สอนใหม่อีกครั้ง
เงาร่างวัยหนุ่มสองคนใต้แสงไฟสีเหลือง เงียบงัน แต่มั่นคง
ทางแยกหลังวันรับปริญญา
วันจบการศึกษา จาง เหอชิง อยู่ทำงานต่อที่มหาวิทยาลัย ส่วนหลิว อี้จู เลือกกลับบ้านเกิดทำงานระดับ基层 ก่อนจากกัน หลิว อี้จู มอบถุงผ้าใบหนึ่งให้เพื่อน ภายในคือสมุดบันทึกรายจ่ายตลอดสี่ปีในมหาวิทยาลัย ทุกมื้ออาหาร ทุกบาททุกสตางค์ ถูกจดไว้อย่างเรียบร้อย
เขาบอกว่านี่คือ “บันทึกความยากจน” และเป็นหลักฐานของมิตรภาพ
หลิว อี้จู ยังยัดเหรียญเงินเล็ก ๆ ใส่มือเพื่อน กำชับให้ดูแลตัวเองให้ดี ตั้งใจเรียนต่อ และเป็นตัวแทนเด็กชนบทออกไปพิสูจน์ให้โลกเห็น
เมื่อรถไฟเคลื่อนตัว เขาเกาะหน้าต่างโบกมือ รอยยิ้มนั้นทำให้จาง เหอชิง น้ำตาคลอ
ต่อมา จาง เหอชิง ได้ข่าวว่าเพื่อนกลับบ้านไปทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทั้งทำงาน ทั้งทำไร่ เลี้ยงหมู ดูแลพ่อที่ป่วย และแบกรับภาระครอบครัวใหญ่เพียงลำพัง
มิตรภาพก็เหมือนสายใยครอบครัว บางครั้งจะเห็นชัดเจนก็ต่อเมื่อการสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว
การจากลาที่ไม่มีวันย้อนกลับ
ปี 2023 ระหว่างการเดินทางไปทำงาน หลิว อี้จู ล้มป่วยกะทันหันและจากไป ณ สถานที่ทำงาน ด้วยวัยเพียง 55 ปี ข่าวร้ายมาเร็วเกินไป ทำให้จาง เหอชิง ช็อกจนตั้งตัวไม่ทัน
วันนี้ เมื่อใกล้ 60 ปี จาง เหอชิง มีลูกศิษย์อยู่ทั่วประเทศ อาศัยในบ้านกว้างขวาง กินอาหารที่ครั้งหนึ่งไม่กล้าฝันถึง แต่ในช่วงเวลาธรรมดา ๆ ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนเก่ากลับผุดขึ้นเสมอ—เมื่อมีนักศึกษานำไข่ต้มมาฝากอาจารย์ เมื่อเห็นจักรยานจอดเรียงคู่กันในมหาวิทยาลัย หรือเมื่อยืนบนโพเดียมพูดถึงคำว่า “ความพยายาม”
ปีที่แล้ว เขากลับไปบ้านเกิดของเพื่อน เดินขึ้นเนินเขาด้านหลังบ้าน ข้างหลุมฝังศพ ต้นโซโฟราที่หลิว อี้จู ปลูกไว้เมื่อปีก่อน ๆ เติบโตเขียวขจี ลมพัดผ่านใบไม้เกิดเสียงซู่ซ่า ราวกับเสียงดินสอขีดเขียนบนกระดาษในวันวาน
เขานั่งอยู่หน้าหลุมศพตลอดบ่าย เงียบ ๆ บอกว่าเขาได้เดินต่อบนเส้นทางที่เพื่อนยังไปไม่ถึง แทนเพื่อนในการสอนเด็กบ้านนอกที่ซื่อสัตย์ อดทน เหมือนเพื่อนในวันนั้น
“ไม่มีใครจะเกิดความผูกพันกับดินกองหนึ่งได้…”
บรรทัดสุดท้ายของบทความ จาง เหอชิง เขียนว่า
“ไม่มีใครจะเกิดความผูกพันกับดินกองหนึ่งได้ จนกว่าจะเป็นมือของตนเองที่ก่อเป็นหลุมศพขึ้นมา”
ประโยคนี้ทำให้ผู้คนนับล้านเงียบงัน
เพราะในที่สุด มิตรภาพก็เหมือนสายใยครอบครัว—บางครั้งจะปรากฏชัดเจนที่สุด ก็ต่อเมื่อการสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว และมีบางคน แม้ไม่อยู่ในชีวิตเราอีกต่อไป แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำ ทุกบทเรียน ทุกการบรรยาย และทุกช่วงเวลาธรรมดาแสนธรรมดา