สุขภาพ 18/12/2025 00:47

หญิงป่วยเบาหวาน กินกะหล่ำปลีทุกวัน 3 เดือน หมอเตือนอันตรา

นางหลิน ชาวมณฑลเสฉวน ประเทศจีน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะถูกวินิจฉัยว่าเป็น โรคเบาหวานชนิดที่ 2 จากการตรวจสุขภาพประจำปี เนื่องจากเธอไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และแทบไม่กินของหวานตลอดชีวิตที่ผ่านมา
1 phụ nữ bị tiểu đường quyết định ăn bắp cải mỗi ngày, 3 tháng sau đi khám lại bác sĩ kinh ngạc thốt lên điều này- Ảnh 1.

อย่างไรก็ตาม ผลตรวจกลับพบว่า ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารของเธอพุ่งสูงถึง 8.9 mmol/L และค่า HbA1c สูงถึง 7.5% แพทย์จึงสั่งยาลดน้ำตาลทันที พร้อมแนะนำให้ควบคุมอาหาร น้ำหนัก และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

“กินกะหล่ำปลีทุกวัน น้ำตาลจะไม่ขึ้น”

หลังทราบผลตรวจ นางหลินตัดสินใจควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด เธอกิน ซุปกะหล่ำปลี สลัดกะหล่ำปลี และแกงกะหล่ำปลีทุกวัน แทบไม่กินข้าว ครอบครัวเป็นห่วงและเตือนเรื่องโภชนาการ แต่เธอกลับยืนยันว่า
“ไม่กินแป้ง น้ำตาลก็ไม่ขึ้น”

สามเดือนต่อมา เธอกลับไปตรวจซ้ำ แพทย์ที่อ่านผลตรวจถึงกับตกใจ เพราะแทบจำผู้ป่วยคนเดิมไม่ได้
ระดับน้ำตาลในเลือดกลับเข้าสู่เกณฑ์ใกล้ปกติ และค่า HbA1c ลดลงเหลือ 6.2% น้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 4 กิโลกรัม
1 phụ nữ bị tiểu đường quyết định ăn bắp cải mỗi ngày, 3 tháng sau đi khám lại bác sĩ kinh ngạc thốt lên điều này- Ảnh 2.

แต่แทนที่จะดีใจ แพทย์กลับกล่าวอย่างจริงจังว่า
“นี่ไม่ใช่วิธีควบคุมน้ำตาลที่ปลอดภัย คุณกำลังเสี่ยงชีวิตตัวเองอยู่”

กะหล่ำปลีช่วยลดน้ำตาลได้จริงหรือ?

แพทย์อธิบายว่า กะหล่ำปลีเป็นผักที่ดีต่อสุขภาพจริง
มีน้ำตาลต่ำ ไขมันต่ำ แคลอรีต่ำ อุดมด้วยใยอาหาร วิตามินซี โพแทสเซียม และสารพฤกษเคมี ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ลดภาระตับอ่อน และกระตุ้นการทำงานของลำไส้

แต่ปัญหาคือ เบาหวานไม่สามารถควบคุมได้ด้วยอาหารเพียงชนิดเดียว
แก่นของโรคเบาหวานคือ ภาวะดื้ออินซูลินหรือการทำงานของอินซูลินบกพร่อง ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกินผักเพียงอย่างเดียว

การลดคาร์โบไฮเดรตและพลังงานอย่างรุนแรงในช่วงสั้น อาจทำให้ตัวเลขน้ำตาลดูดีขึ้นชั่วคราว แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียง ภาพลวงตา การขาดสารอาหารในระยะยาวอาจเร่งให้ระบบเผาผลาญแย่ลง และทำลายการทำงานของเซลล์ตับอ่อนมากยิ่งขึ้น

ยิ่งกินน้อย น้ำตาลยิ่งนิ่ง จริงหรือ?

ผู้ป่วยเบาหวานจำนวนไม่น้อยเข้าใจผิดว่า “แป้งทำให้น้ำตาลขึ้น” จึงงดอาหารหลัก กินแต่ผักหรือผลไม้
1 phụ nữ bị tiểu đường quyết định ăn bắp cải mỗi ngày, 3 tháng sau đi khám lại bác sĩ kinh ngạc thốt lên điều này- Ảnh 3.

ช่วงแรก น้ำตาลอาจลดลง แต่ไม่นานร่างกายจะเริ่มส่งสัญญาณเตือน เช่น

  • นอนไม่หลับ อ่อนเพลียตอนกลางวัน

  • มือเท้าเย็น ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม

  • น้ำตาลพุ่งง่ายหลังมื้ออาหารเล็กน้อย

  • บางรายเกิดภาวะน้ำตาลต่ำ เหงื่อออก หน้ามืด

สาเหตุคือ การได้รับพลังงานต่ำเป็นเวลานานทำให้ อัตราการเผาผลาญพื้นฐานลดลง ความไวต่ออินซูลินแย่ลง และเกิดปัญหาต่อเนื่อง เช่น สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ไกลโคเจนในตับลด และฮอร์โมนแปรปรวน

แพทย์ย้ำว่า การกินอาหารให้สมดุล โดยเลือกธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว มัน และโปรตีนคุณภาพสูง ปลอดภัยและได้ผลดีกว่าการกินผักอย่างเดียวมาก

แพทย์เตือน 3 ความเข้าใจผิดเรื่องควบคุมน้ำตาล ที่อันตรายไม่แพ้น้ำตาล

1. งดอาหารหลักโดยสิ้นเชิง
ร่างกายยังต้องการพลังงาน ผู้ป่วยเบาหวานไม่ควรตัดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด แต่ควรเลือกชนิดที่ดี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด มันเทศ (ค่า GI ต่ำ)

2. กินมังสวิรัติแต่ไม่กินโปรตีน
การขาดโปรตีนทำให้กล้ามเนื้อลด ภูมิคุ้มกันแย่ และควบคุมน้ำตาลได้ยาก ควรได้รับโปรตีนคุณภาพ เช่น ไข่ ปลา เต้าหู้ เนื้อไม่ติดมัน

3. โฟกัสแต่น้ำตาล ไม่ดูภาพรวมสุขภาพ
เป้าหมายของการรักษาเบาหวานไม่ใช่แค่น้ำตาลในเลือด แต่รวมถึง น้ำหนัก ไขมันในเลือด ความดัน และมวลกล้ามเนื้อ

บทสรุป

ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ นางหลินค่อยๆ กลับมารับประทานอาหารอย่างสมดุล กินข้าวกล้อง ไข่ตอนเช้า ปลาและผักมื้อกลางวัน และเดินหลังอาหารทุกวัน เมื่อตรวจซ้ำ น้ำตาลยังคงคงที่ และสภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นอย่างชัดเจน

แพทย์สรุปว่า ก่อนหน้านี้การ “คุมเข้มด้วยกะหล่ำปลี” ทำให้ร่างกายของเธอทำงานเกินกำลัง
ทางออกที่ยั่งยืนคือ โภชนาการที่สมดุล + การออกกำลังกาย + การดูแลอย่างมีวิทยาศาสตร์

เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับผู้ป่วยเบาหวานทุกคน
อย่าหลงเชื่อวิธีควบคุมน้ำตาลแบบสุดโต่ง หรือสูตรลัดจากคำบอกเล่า
เพราะการควบคุมเบาหวาน ต้องอาศัยความเข้าใจ ไม่ใช่การอดอาหาร

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่