สุขภาพ 19/12/2025 23:44

ผู้ที่เป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยงสมองมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แพท

จำนวนผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แพทย์จำนวนไม่น้อยรู้สึกหนักใจ
ตามรายงาน Global Burden of Disease (GBD) ซึ่งจัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ที่เชื่อถือได้ ระบุว่าในแต่ละปีทั่วโลกมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองรายใหม่ประมาณ 12–13 ล้านราย โดยประมาณ 80–85% เป็นภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือด

ภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดไม่ใช่โรคที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันภายในวันเดียว แต่เป็นผลจากการสะสมยาวนานจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะนิสัยการกินอาหารที่ดูเหมือนปกติในแต่ละวัน สิ่งคุ้นเคยเหล่านี้เมื่อผ่านไปนานๆ กลับกลายเป็น “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ที่ค่อยๆ ทำลายหลอดเลือดสมองอย่างเงียบๆ

ในทางคลินิก ภาวะนี้พบได้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุเกิน 40 ปี หลายคนเพิ่งตรวจพบความผิดปกติของหลอดเลือดสมองระหว่างการตรวจสุขภาพประจำปี หรือเข้ารักษาเพราะเวียนหัวเฉียบพลัน แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด พูดยาก แล้วจึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือด นี่จึงกลายเป็นปัญหาสุขภาพระดับสาธารณชนที่ไม่อาจมองข้ามได้

แพทย์ระบุว่า ในบรรดาปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย มีหลาย “ตัวการ” ที่สามารถควบคุมได้ผ่านการปรับเปลี่ยนอาหารการกิน หากลดอาหารบางประเภทที่เรามักมองข้าม ความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดจะลดลงอย่างชัดเจน

  1. อาหารที่มีเกลือสูง
    ทุกคนรู้ว่าการกินเค็มทำให้ความดันโลหิตสูง แต่หลายคนยังคงประมาท คิดว่าตนควบคุมได้ดี ความจริงแล้ว หลายคนบริโภคเกลือเกินค่าที่แนะนำโดยไม่รู้ตัว งานวิจัยชี้ว่า ผู้ใหญ่ที่บริโภคเกลือมากกว่า 6 กรัมต่อวัน มีความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดสูงขึ้นเกือบ 30% เมื่อเทียบกับผู้ที่กินจืด และความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้นตามอายุ
    อาหารที่มีเกลือสูงไม่ได้มีเฉพาะของดอง น้ำปลา อาหารแปรรูป บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงของว่างรสจัดอีกมากมาย การกินเค็มเป็นเวลานานจะทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูง และกระตุ้นให้หลอดเลือดแข็งตัว เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดอย่างมาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง

  2. อาหารที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลสูง
    เช่น ไขมันสัตว์ เครื่องใน เนย ครีม และผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม งานวิจัยพบว่า ในผู้ที่มีไขมันในเลือดผิดปกติ การบริโภคอาหารกลุ่มนี้มากเกินไปจะเพิ่ม LDL-C ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อก้อนลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดสมอง
    เมื่อไขมันในเลือดสูงรวมกับความดันโลหิตสูงหรือเบาหวาน ความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดแทบ “เปิดประตูรอ” ไม่เพียงแค่เนื้อติดมันเท่านั้น อาหารทอด ของฟาสต์ฟู้ด และของมันต่างๆ ก็มีส่วนทำให้เกิดคราบไขมันในหลอดเลือด เมื่อคราบเหล่านี้แตกออก อาจทำให้เกิดอาการหลอดเลือดสมองตีบอย่างกะทันหัน

  3. อาหารและเครื่องดื่มที่หวานเกินไป
    น้ำตาลไม่เพียงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวน แต่ยังเร่งการเสื่อมของหลอดเลือด งานวิจัยขนาดใหญ่ในประชากรกว่า 100,000 คนพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมหวานมากกว่าวันละ 1 กระป๋อง มีความเสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดสูงขึ้นประมาณ 15–20%
    ความเสี่ยงยิ่งเด่นชัดในผู้ที่เป็นเบาหวานหรือก่อนเบาหวาน เพราะน้ำตาลในเลือดสูงทำให้ผนังหลอดเลือดเปราะ เลือดข้น และเมื่อรวมกับไขมันในเลือดผิดปกติ ก็ยิ่งเสี่ยงอุดตันสมอง ที่สำคัญ น้ำตาลไม่ได้มีแค่ในขนมหวาน แต่ยังซ่อนในซีเรียล นมเปรี้ยว เครื่องดื่มสำเร็จรูป และเครื่องปรุงหลายชนิด ทำให้ปริมาณน้ำตาลเกินกว่าที่คิดได้ง่าย

  4. อาหารที่มีพิวรีนและคอเลสเตอรอลสูง
    อาหารทะเลและเครื่องในสัตว์ทำให้กรดยูริกในเลือดสูง ทำลายผนังหลอดเลือด และทำให้เลือดหนืด การมีกรดยูริกสูงถือเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือด
    แพทย์พบว่า การกินหม้อไฟอาหารทะเลหรือเครื่องในร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์ เป็น “ตัวเร่ง” ที่อันตรายต่อโรคหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะในผู้ชายวัยกลางคน สถิติชี้ว่า ผู้ที่มีกรดยูริกตั้งแต่ 420 ไมโครโมลต่อลิตรขึ้นไป มีอัตราเกิดภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดสูงกว่าคนปกติประมาณ 25%

แพทย์แนะนำว่า การรับประทานอาหารที่สมดุล โดยเพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่ว และปลาปริมาณเหมาะสม จะช่วยปกป้องหลอดเลือด เพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและใยอาหาร ทำให้ผนังหลอดเลือดยืดหยุ่นดีขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ลดอาหารที่ทำร้ายหลอดเลือด และเพิ่มอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีป้องกันโรคที่ยั่งยืน

ภาวะกล้ามเนื้อสมองขาดเลือดไม่ใช่สิ่งที่ป้องกันไม่ได้ สิ่งสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการควบคุมอาหาร หากยังคงกินเค็ม มัน หวาน และอาหารที่มีพิวรีนสูง หลอดเลือดก็จะ “เตือนภัย” ในไม่ช้า ในทางกลับกัน การควบคุมอาหาร ใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ภาวะนี้เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่