
สุดสะเทือนใจ: สูญเสียลูกไปตลอดกาล เพียงเพราะความเผลอไม่กี่นาที
ความเจ็บปวดไม่รู้จบจากมื้ออาหารในครอบครัวหนึ่ง…
นี่คือเรื่องราวอันน่าเศร้าของครอบครัวที่มีลูกยากอยู่แล้ว แต่กลับต้องสูญเสียลูกไปในวัยเพียง 9 ขวบ เพียงเพราะเด็กสำลักซี่โครงชิ้นหนึ่ง ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเผยแพร่บนแฟนเพจ เพื่อให้พ่อแม่ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์อันตราย และที่สำคัญคือควรเรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับลูกหลาน
“วันนี้ หลังจากจัดการงานศพให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ฉันถึงพอมีสติพอจะเขียนเตือนใจสักเล็กน้อย ขอให้พ่อแม่ทุกคนระมัดระวังให้มาก อย่าให้เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นเดียวกับครอบครัวของฉัน
วันนั้นเป็นวันเสาร์ ลูกชายของฉัน (กำลังเรียนประถม) ได้หยุดเรียน ตอนเที่ยงฉันทำซี่โครงตุ๋นให้ลูกกิน ฉันตักซี่โครงให้ลูก 3 ชิ้น ใส่ถาดข้าวพร้อมกับซุปและข้าวสวย เพียงแค่หันไปทำงานประมาณ 3 นาที พอหันกลับมา ฉันก็ช็อกเมื่อเห็นว่าลูกกำลังสำลัก
ฉันรีบเรียกสามีมาช่วย ทั้งสองคนรีบอุ้มลูก เขย่าตัว ตบหลัง กดหน้าอกเพื่อช่วยเหลือ (ตอนนั้นกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ แต่ด้วยความเจ็บปวด ฉันลบคลิปนั้นไปแล้ว และไม่กล้าดูมันอีกเลย) ลูกเริ่มหายใจไม่ออก ตัวเริ่มเขียวคล้ำ ภาพที่ติดตาฉันไม่รู้ลืมคือดวงตาที่เบิกกว้างของลูก มองมาที่แม่ มือทั้งสองยื่นขึ้นราวกับขอความช่วยเหลือ… แต่ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ได้เลย เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง
ทันทีนั้น ฉันขับรถพาลูกไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน คือโรงพยาบาลเด็ก ด.ท. เมื่อไปถึง ลูกหัวใจหยุดเต้นแล้ว แม้จะมีการช่วยกดหัวใจ แต่เนื่องจากขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ฉันไม่อยากพูดถึงมากไปกว่านี้ เพราะอาจเป็นชะตากรรมของลูก หากตอนนั้นฉันขับตรงไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์บวนมาถวด บางทีอาจจะทัน…)
ต่อมา ลูกถูกส่งต่อด้วยรถพยาบาลไปยังโรงพยาบาลศูนย์ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นี่ลูกถูกนำเข้าห้องฉุกเฉิน แล้วส่งต่อไปยังแผนกกุมารเวช ชั้น 2 อาคาร D ทีมแพทย์และพยาบาลที่นี่มีจิตใจดีมาก แม้ตอนนั้นฉันจะตกใจจนจำชื่อไม่ได้ แต่ฉันซาบซึ้งในคุณหมอผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่ง ที่ทุ่มเทช่วยชีวิตลูกอย่างเต็มที่
หลังพยายามช่วยเหลืออยู่ 30 นาที หัวใจของลูกก็กลับมาเต้นอีกครั้ง ตอนนั้นฉันดีใจจนบรรยายไม่ถูก ฉันคุกเข่าลงกลางห้องฉุกเฉิน อ้อนวอนต่อฟ้าให้ลูกมีโอกาสรอด ฉันบอกตัวเองว่า “ลูกยังมีชีวิตอยู่แล้ว!” แพทย์เริ่มใส่อุปกรณ์ช่วยชีวิตและใส่ท่อช่วยหายใจ ชีพจรลูกขึ้นเป็น 130 ความดัน 80 ตอนนั้นฉันคิดว่า ต่อให้ลูกสมองตาย แม่ก็จะเลี้ยงดูเขาไปตลอดชีวิต ขอแค่ลูกยังอยู่กับแม่ก็พอ
คืนแรกผ่านไป ลูกมีอาการดีขึ้น ทำให้ฉันยิ่งมีความหวัง แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 9 โมง หลังจากฉันออกไปนอนพิงหลับตานอกห้องได้เพียง 10 นาที เพราะเหนื่อยล้ามาก ฉันก็ได้ยินเสียงสามีร้องไห้สะอื้น พอวิ่งกลับเข้าไป ฉันเห็นแขนขาลูกแข็งเกร็งแล้ว… ฉันรู้ทันทีว่าลูกไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกแล้ว
ฉันวิ่งหนีออกไปข้างนอก เพราะไม่มีแรงใจจะเผชิญกับวินาทีนั้น สามีเดินออกมาแล้วพูดประโยคหนึ่ง ซึ่งทุกครั้งที่ฉันเขียนถึง หัวใจก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว:
“พอเถอะนะ เราพาลูกกลับบ้านกันเถอะ พี่อยากให้ลูกจากไปที่บ้าน ไม่ใช่ในโรงพยาบาลที่แสนหนาวเย็น…”
ตอนนั้นฉันทรุดลงทันที แม้ในใจยังดื้อรั้นอยาก ‘สู้จนวินาทีสุดท้าย’ แต่หลังจากกระตุ้นหัวใจสองครั้ง ชีพจรลูกเหลือเพียง 20 ฉันบอกตัวเองว่า “พอแล้ว ลูกคงเจ็บมาก กลับบ้านกันนะลูก…” จากนั้นฉันก็หมดสติไป
ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ขอให้พ่อแม่ทุกคนดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมื้ออาหารประจำวัน อย่าให้เพียงความเผลอชั่วครู่ ต้องกลายเป็นความเสียใจไปทั้งชีวิตเหมือนฉัน”
การสำลักสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจเป็นอุบัติเหตุที่อันตรายมาก โดยเฉพาะในเด็ก หากช่วยเหลือผิดวิธีหรือล่าช้า อาจทำให้สมองขาดออกซิเจน เกิดความพิการรุนแรง หรือเสียชีวิตได้ เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้ ต้องตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้องดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: สังเกตว่าเด็กกำลังสำลัก
-
เด็กไอรุนแรง พูดไม่ได้ ร้องไม่ได้
-
หายใจมีเสียงหวีด หายใจอ่อน หรือไม่หายใจ
-
หน้าเขียว ปากเขียว หรือผิวเริ่มซีด
ขั้นตอนที่ 2: ปฐมพยาบาลตามช่วงอายุ
เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี: ใช้วิธีตบหลังและกดหน้าอก
2.1 การตบหลัง
-
วางเด็กคว่ำบนแขนของผู้ช่วย โดยให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว
-
ประคองศีรษะและคอให้มั่นคง
-
ใช้ส้นมืออีกข้างตบแรง 5 ครั้ง ระหว่างสะบัก
-
สังเกตว่าเด็กหายใจหรือร้องได้หรือไม่ ผิวเริ่มแดงขึ้นหรือยัง
-
หากเห็นสิ่งแปลกปลอมในปาก ให้คีบออกอย่างเบามือ
2.2 การกดหน้าอก
-
หากสิ่งแปลกปลอมยังไม่ออก และเด็กยังไม่หายใจ
-
วางเด็กหงายบนแขน
-
ใช้นิ้วสองนิ้วกดแรง 5 ครั้ง บริเวณกึ่งกลางระหว่างกระดูกหน้าอกกับสะดือ
-
กดจากล่างขึ้นบน
-
สลับตบหลัง 5 ครั้ง และกดหน้าอก 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด หรือมีบุคลากรแพทย์มาช่วย
เด็กอายุมากกว่า 2 ปี และผู้ใหญ่: ใช้วิธี Heimlich
ขั้นตอนที่ 3: ทำวิธี Heimlich
หากผู้ประสบเหตุยังรู้สึกตัว
-
ให้ยืนหรือนั่ง
-
ผู้ช่วยยืนด้านหลัง
-
กำมือหนึ่งข้าง อีกมือจับทับ
-
วางมือที่บริเวณลิ้นปี่ ใต้กระดูกหน้าอก
-
ดันแรงจากล่างขึ้นบน 5 ครั้งติดต่อกัน
-
หากยังไม่สำเร็จ ให้ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะออก
หากผู้ประสบเหตุหมดสติ
-
วางนอนหงายบนพื้นแข็ง
-
ผู้ช่วยคุกเข่าข้างต้นขา
-
วางมือสองข้างทับกัน ใต้กระดูกหน้าอก
-
กดแรงจากล่างขึ้นบน 5 ครั้ง
-
หากไม่หายใจ ให้ผายปอด 2 ครั้ง
-
ทำสลับกันจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะออกหรือเริ่มหายใจ
ขั้นตอนที่ 4: หลังสิ่งแปลกปลอมหลุด
-
สังเกตการหายใจ สีผิว และระดับความรู้สึกตัว
-
แม้เด็กจะหายใจได้แล้ว ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจทางเดินหายใจ
ข้อควรระวังสำคัญ
❌ ห้ามควักคอแบบสุ่มเมื่อไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม
❌ ห้ามพยายามคีบสิ่งแปลกปลอมที่ติดลึกในทางเดินหายใจเอง
‼️ หากสงสัยว่ายังมีสิ่งแปลกปลอมหลงเหลือ ต้องส่องกล้องโดยแพทย์
‼️ ความล่าช้าเพียงไม่กี่นาที อาจต้องแลกด้วยราคาที่แสนแพง ควรช่วยเหลือให้ถูกวิธี และโทรเรียกรถพยาบาลควบคู่กันหากทำได้
บทความในหมวดเดียวกัน


บ้านใดปรากฏ 3 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ ถือเป็นลางดี บ่งบอกว่าทรัพย์โชคกำลังมาเยือน

เตือนระวัง "งูสีฟ้า" คนแห่เลี้ยงตามกระแส Zootopia 2 แท้จริงคืออสรพิษอันตราย มีพิษร้ายแรง

สูง 1 เมตร 60 แต่หนักเพียง 35 กิโลกรัม ผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์ถึงกับตกใจเมื่อพบส

อุบัติเหตุเพียงเสี้ยววินาที ทำให้ทารกวัย 9 เดือนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน

ช่วงเวลาหนึ่งในห้องคลอดที่ฝังใจสามีไม่รู้ลืม

ไม่กล้าทิ้งชามแกงปลา สุดท้ายต้องแลกด้วยช่วงเวลาการรักษาที่แสนทรมานและน่าหวาดหวั่น

แม่บ้านต้องรู้! เคล็ดลับล้างพัดลมแบบไม่ต้องถอด ช่วยประหยัดแรง แถมเร็วสุดๆ

อย่ามองข้าม! ตื่นตี 3–4 เป็นประจำ อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกาย

ช็อกคอนโด! หนุ่มบุกทำร้ายหญิงสาว พี่สาวเปิดใจ เล่าบาดแผลทางใจของผู้เคราะห์ร้าย

ตามหลักฮวงจุ้ย หากมี 3 สิ่งนี้ปรากฏอยู่บริเวณหน้าบ้าน จะส่งผลเสียต่อโชคลาภและความสงบสุขข

คนที่มีอายุสั้น มักจะมี “ความเร็ว” มากกว่าคนอื่นอยู่ 3 อย่าง หากอยากมีอายุยืน ควรหลีกเลี่ย

เช็กตัวเองด่วน! 5 จุดดำคล้ำที่อาจบอกความเสี่ยงมะเร็งโดยไม่รู้ตัว

ใครมีอาการแบบนี้ต้องระวัง! 4 สัญญาณเตือนโรค.หลอดเลือดสมอง

5 อุปกรณ์ที่ควรถอดปลั๊กเมื่อไม่ได้ใช้งาน ระวังค่าไฟพุ่งไม่รู้ตัว

เปิดคำอธิบายนักวิทยาศาสตร์ ต้นตอ “สึนามิ ป.ศ.จ.” สูง 30 เมตร เหตุที่ทำทั่วโลกจับตา

ผวาทั้งบ้าน! เหตุไม่คาดฝันในครัว ทำคุณยายวัย 74 ปีช็อก นอนไม่หลับทั้งคืน

ขาบวม มือบวม ไม่ใช่เรื่องเล็ก! สัญญาณเตือนโรคที่ร่างกายกำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือ

หมอเตือนชัด! 5 สัญญาณไ.ตเริ่มมีปัญหา ข้อที่ 3 คนส่วนใหญ่มองข้าม
บทความใหม่

ซื้อทองมา 5 ปี ฉันกลับเสียใจที่ไม่รู้เรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้

เรื่องราวหนึ่งเดียวในโลก ยอดวิวเกือบ 5 ล้าน ของคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงดูลูกของคนอื่น

บ้านใดปรากฏ 3 ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ ถือเป็นลางดี บ่งบอกว่าทรัพย์โชคกำลังมาเยือน

เตือนระวัง "งูสีฟ้า" คนแห่เลี้ยงตามกระแส Zootopia 2 แท้จริงคืออสรพิษอันตราย มีพิษร้ายแรง

ตู้เย็นเกิดน้ำแข็งเกาะ เปลืองไฟเพิ่ม 10–30% แล้วจะแก้ไขอย่างไรดี?

แพทย์คอนเฟิร์ม "ปิดไฟอาบน้ำ" ช่วยรีเซ็ตระบบประสาท แก้ปัญหานอนไม่หลับได้จริง

เคล็ดลับดองกระเทียมให้ขาว กรอบ เก็บได้นานไม่เขียว แค่ทำถูก “ขั้นตอนเดียว” นี้

ใส่เกลือเล็กน้อยในตู้เย็น ประโยชน์มหัศจรรย์ ช่วยประหยัดค่าไฟได้เป็นล้าน แต่จนถึงตอนนี้ย

ไปตลาดซื้อไข่ อย่าเพิ่งเอาเข้าตู้เย็น: เรียนรู้วิธีเก็บไข่แบบคนญี่ปุ่น ไม่ใช้ตู้เย็น เก็

ปุ่มเล็ก ๆ บนโทรศัพท์: กดปุ๊บ เครื่องเชื่อมต่อ Wi-Fi ฟรีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องขอรหัสผ่าน ไม่เปลื

ครอบครัวไหนที่ชอบกินเนื้อบดเป็นประจำ ต้องรู้เรื่องนี้ไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงโรคร้ายอันตราย

ชายวัย 58 ปี กินกระเทียมวันละ 1 กลีบทุกเช้า ผ่านไป 6 เดือนไปตรวจสุขภาพ ผลที่ได้ทำเอาเจ้าตัวถึ

สูง 1 เมตร 60 แต่หนักเพียง 35 กิโลกรัม ผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แพทย์ถึงกับตกใจเมื่อพบส

อุบัติเหตุเพียงเสี้ยววินาที ทำให้ทารกวัย 9 เดือนต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลฉุกเฉิน

ทุเรียนมีประโยชน์ แต่ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคนี้ควรระมัดระวัง

ช่วงเวลาหนึ่งในห้องคลอดที่ฝังใจสามีไม่รู้ลืม

ไม่กล้าทิ้งชามแกงปลา สุดท้ายต้องแลกด้วยช่วงเวลาการรักษาที่แสนทรมานและน่าหวาดหวั่น

ดื่มน้ำแล้วมีสัญญาณ 4 ข้อนี้ ระวังไ.ตใ.กล้ล้.มเห.ลว
