ความจริง 21/12/2025 20:07

สุดสะเทือนใจ: สูญเสียลูกไปตลอดกาล เพียงเพราะความเผลอไม่กี่นาที

ความเจ็บปวดไม่รู้จบจากมื้ออาหารในครอบครัวหนึ่ง…

นี่คือเรื่องราวอันน่าเศร้าของครอบครัวที่มีลูกยากอยู่แล้ว แต่กลับต้องสูญเสียลูกไปในวัยเพียง 9 ขวบ เพียงเพราะเด็กสำลักซี่โครงชิ้นหนึ่ง ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาเผยแพร่บนแฟนเพจ เพื่อให้พ่อแม่ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์อันตราย และที่สำคัญคือควรเรียนรู้ทักษะการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับลูกหลาน


“วันนี้ หลังจากจัดการงานศพให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ฉันถึงพอมีสติพอจะเขียนเตือนใจสักเล็กน้อย ขอให้พ่อแม่ทุกคนระมัดระวังให้มาก อย่าให้เกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นเดียวกับครอบครัวของฉัน

วันนั้นเป็นวันเสาร์ ลูกชายของฉัน (กำลังเรียนประถม) ได้หยุดเรียน ตอนเที่ยงฉันทำซี่โครงตุ๋นให้ลูกกิน ฉันตักซี่โครงให้ลูก 3 ชิ้น ใส่ถาดข้าวพร้อมกับซุปและข้าวสวย เพียงแค่หันไปทำงานประมาณ 3 นาที พอหันกลับมา ฉันก็ช็อกเมื่อเห็นว่าลูกกำลังสำลัก

ฉันรีบเรียกสามีมาช่วย ทั้งสองคนรีบอุ้มลูก เขย่าตัว ตบหลัง กดหน้าอกเพื่อช่วยเหลือ (ตอนนั้นกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ แต่ด้วยความเจ็บปวด ฉันลบคลิปนั้นไปแล้ว และไม่กล้าดูมันอีกเลย) ลูกเริ่มหายใจไม่ออก ตัวเริ่มเขียวคล้ำ ภาพที่ติดตาฉันไม่รู้ลืมคือดวงตาที่เบิกกว้างของลูก มองมาที่แม่ มือทั้งสองยื่นขึ้นราวกับขอความช่วยเหลือ… แต่ตอนนั้นฉันทำอะไรไม่ได้เลย เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง

ทันทีนั้น ฉันขับรถพาลูกไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน คือโรงพยาบาลเด็ก ด.ท. เมื่อไปถึง ลูกหัวใจหยุดเต้นแล้ว แม้จะมีการช่วยกดหัวใจ แต่เนื่องจากขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (ฉันไม่อยากพูดถึงมากไปกว่านี้ เพราะอาจเป็นชะตากรรมของลูก หากตอนนั้นฉันขับตรงไปโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์บวนมาถวด บางทีอาจจะทัน…)

ต่อมา ลูกถูกส่งต่อด้วยรถพยาบาลไปยังโรงพยาบาลศูนย์ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ที่นี่ลูกถูกนำเข้าห้องฉุกเฉิน แล้วส่งต่อไปยังแผนกกุมารเวช ชั้น 2 อาคาร D ทีมแพทย์และพยาบาลที่นี่มีจิตใจดีมาก แม้ตอนนั้นฉันจะตกใจจนจำชื่อไม่ได้ แต่ฉันซาบซึ้งในคุณหมอผู้ชายใส่แว่นคนหนึ่ง ที่ทุ่มเทช่วยชีวิตลูกอย่างเต็มที่

หลังพยายามช่วยเหลืออยู่ 30 นาที หัวใจของลูกก็กลับมาเต้นอีกครั้ง ตอนนั้นฉันดีใจจนบรรยายไม่ถูก ฉันคุกเข่าลงกลางห้องฉุกเฉิน อ้อนวอนต่อฟ้าให้ลูกมีโอกาสรอด ฉันบอกตัวเองว่า “ลูกยังมีชีวิตอยู่แล้ว!” แพทย์เริ่มใส่อุปกรณ์ช่วยชีวิตและใส่ท่อช่วยหายใจ ชีพจรลูกขึ้นเป็น 130 ความดัน 80 ตอนนั้นฉันคิดว่า ต่อให้ลูกสมองตาย แม่ก็จะเลี้ยงดูเขาไปตลอดชีวิต ขอแค่ลูกยังอยู่กับแม่ก็พอ

คืนแรกผ่านไป ลูกมีอาการดีขึ้น ทำให้ฉันยิ่งมีความหวัง แต่เช้าวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 9 โมง หลังจากฉันออกไปนอนพิงหลับตานอกห้องได้เพียง 10 นาที เพราะเหนื่อยล้ามาก ฉันก็ได้ยินเสียงสามีร้องไห้สะอื้น พอวิ่งกลับเข้าไป ฉันเห็นแขนขาลูกแข็งเกร็งแล้ว… ฉันรู้ทันทีว่าลูกไม่สามารถอยู่ต่อได้อีกแล้ว

ฉันวิ่งหนีออกไปข้างนอก เพราะไม่มีแรงใจจะเผชิญกับวินาทีนั้น สามีเดินออกมาแล้วพูดประโยคหนึ่ง ซึ่งทุกครั้งที่ฉันเขียนถึง หัวใจก็เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว:
“พอเถอะนะ เราพาลูกกลับบ้านกันเถอะ พี่อยากให้ลูกจากไปที่บ้าน ไม่ใช่ในโรงพยาบาลที่แสนหนาวเย็น…”

ตอนนั้นฉันทรุดลงทันที แม้ในใจยังดื้อรั้นอยาก ‘สู้จนวินาทีสุดท้าย’ แต่หลังจากกระตุ้นหัวใจสองครั้ง ชีพจรลูกเหลือเพียง 20 ฉันบอกตัวเองว่า “พอแล้ว ลูกคงเจ็บมาก กลับบ้านกันนะลูก…” จากนั้นฉันก็หมดสติไป

ความเจ็บปวดนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ขอให้พ่อแม่ทุกคนดูแลลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมื้ออาหารประจำวัน อย่าให้เพียงความเผลอชั่วครู่ ต้องกลายเป็นความเสียใจไปทั้งชีวิตเหมือนฉัน”

การสำลักสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจเป็นอุบัติเหตุที่อันตรายมาก โดยเฉพาะในเด็ก หากช่วยเหลือผิดวิธีหรือล่าช้า อาจทำให้สมองขาดออกซิเจน เกิดความพิการรุนแรง หรือเสียชีวิตได้ เมื่อพบสถานการณ์เช่นนี้ ต้องตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้องดังนี้

ขั้นตอนที่ 1: สังเกตว่าเด็กกำลังสำลัก

  • เด็กไอรุนแรง พูดไม่ได้ ร้องไม่ได้

  • หายใจมีเสียงหวีด หายใจอ่อน หรือไม่หายใจ

  • หน้าเขียว ปากเขียว หรือผิวเริ่มซีด

ขั้นตอนที่ 2: ปฐมพยาบาลตามช่วงอายุ

เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี: ใช้วิธีตบหลังและกดหน้าอก

2.1 การตบหลัง

  • วางเด็กคว่ำบนแขนของผู้ช่วย โดยให้ศีรษะต่ำกว่าลำตัว

  • ประคองศีรษะและคอให้มั่นคง

  • ใช้ส้นมืออีกข้างตบแรง 5 ครั้ง ระหว่างสะบัก

  • สังเกตว่าเด็กหายใจหรือร้องได้หรือไม่ ผิวเริ่มแดงขึ้นหรือยัง

  • หากเห็นสิ่งแปลกปลอมในปาก ให้คีบออกอย่างเบามือ

2.2 การกดหน้าอก

  • หากสิ่งแปลกปลอมยังไม่ออก และเด็กยังไม่หายใจ

  • วางเด็กหงายบนแขน

  • ใช้นิ้วสองนิ้วกดแรง 5 ครั้ง บริเวณกึ่งกลางระหว่างกระดูกหน้าอกกับสะดือ

  • กดจากล่างขึ้นบน

  • สลับตบหลัง 5 ครั้ง และกดหน้าอก 5 ครั้ง จนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุด หรือมีบุคลากรแพทย์มาช่วย

เด็กอายุมากกว่า 2 ปี และผู้ใหญ่: ใช้วิธี Heimlich

ขั้นตอนที่ 3: ทำวิธี Heimlich

หากผู้ประสบเหตุยังรู้สึกตัว

  • ให้ยืนหรือนั่ง

  • ผู้ช่วยยืนด้านหลัง

  • กำมือหนึ่งข้าง อีกมือจับทับ

  • วางมือที่บริเวณลิ้นปี่ ใต้กระดูกหน้าอก

  • ดันแรงจากล่างขึ้นบน 5 ครั้งติดต่อกัน

  • หากยังไม่สำเร็จ ให้ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะออก

หากผู้ประสบเหตุหมดสติ

  • วางนอนหงายบนพื้นแข็ง

  • ผู้ช่วยคุกเข่าข้างต้นขา

  • วางมือสองข้างทับกัน ใต้กระดูกหน้าอก

  • กดแรงจากล่างขึ้นบน 5 ครั้ง

  • หากไม่หายใจ ให้ผายปอด 2 ครั้ง

  • ทำสลับกันจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะออกหรือเริ่มหายใจ

ขั้นตอนที่ 4: หลังสิ่งแปลกปลอมหลุด

  • สังเกตการหายใจ สีผิว และระดับความรู้สึกตัว

  • แม้เด็กจะหายใจได้แล้ว ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจทางเดินหายใจ

ข้อควรระวังสำคัญ
❌ ห้ามควักคอแบบสุ่มเมื่อไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม
❌ ห้ามพยายามคีบสิ่งแปลกปลอมที่ติดลึกในทางเดินหายใจเอง
‼️ หากสงสัยว่ายังมีสิ่งแปลกปลอมหลงเหลือ ต้องส่องกล้องโดยแพทย์
‼️ ความล่าช้าเพียงไม่กี่นาที อาจต้องแลกด้วยราคาที่แสนแพง ควรช่วยเหลือให้ถูกวิธี และโทรเรียกรถพยาบาลควบคู่กันหากทำได้

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่