ทุเรียนมีประโยชน์ แต่ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคนี้ควรระมัดระวัง
ทุเรียนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้” หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ทุเรียนจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เนื่องจากอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหารคุณภาพสูง
ทุเรียนช่วยในการย่อยอาหาร กระตุ้นการขับถ่าย บำรุงสมอง และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น นอนหลับสบาย และช่วยควบคุมความดันโลหิต ตามข้อมูลจากเว็บไซต์สุขภาพของโรงพยาบาล MedPark
ทุเรียนมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ แคโรทีนอยด์ และโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยชะลอวัยและลดการเกิดริ้วรอย เบต้าแคโรทีนในทุเรียนยังช่วยบำรุงสายตา ป้องกันต้อกระจกและภาวะจอประสาทตาเสื่อม
นอกจากนี้ ทุเรียนยังให้วิตามินบีหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 6 และโฟเลต ซึ่งช่วยบำรุงสมองและลดความเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม แคลเซียมในทุเรียนช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ส่วนโพแทสเซียมและไขมันไม่อิ่มตัวช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ทุเรียนยังมีกรดอะมิโนทริปโตเฟน ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างเมลาโทนินและเซโรโทนิน ส่งผลให้นอนหลับดีขึ้น ลดความวิตกกังวล และช่วยให้อารมณ์แจ่มใส วิตามินซีในทุเรียนยังช่วยเสริมการทำงานของสมองและปกป้องผิวจากความเสียหายของอนุมูลอิสระ
แม้ทุเรียนจะมีประโยชน์มาก แต่ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาล MedPark (ประเทศไทย) แนะนำว่า ผู้ที่มีโรคต่อไปนี้ควรระมัดระวังในการรับประทานทุเรียน
ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคที่ควรระวังเมื่อกินทุเรียน
ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง 4 กลุ่มต่อไปนี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อรับประทานทุเรียน ได้แก่
-
โรคไต
-
โรคเบาหวาน
-
ความดันโลหิตสูง
-
โรคหลอดเลือดหัวใจ (โรคหัวใจที่พบบ่อยที่สุด)
ปริมาณน้ำตาลและไขมันที่สูงในทุเรียนอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตที่ไม่สามารถขับโพแทสเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะที่เป็นอันตราย ดังนั้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรรับประทานในปริมาณน้อย ไม่ควรกินบ่อย และไม่ควรกินทุกวัน ตามคำแนะนำของโรงพยาบาล MedPark
วิธีรับประทานทุเรียนอย่างเหมาะสมต่อสุขภาพ
เพื่อให้การกินทุเรียนดีต่อสุขภาพ ควรจำกัดไม่เกินวันละ 2 พู (ประมาณ 80 กรัม) หลีกเลี่ยงการกินร่วมกับของหวาน แป้ง หรือเครื่องดื่มอัดลม และไม่ควรกินในช่วงเย็นหรือก่อนนอน ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน
































