ข่าว 18/12/2025 09:48

ครูอนุบาลกลัวที่สุด! เวลาพบผู้ปกครอง 3 แบบนี้ มารับลูก ข้อ 2 เป็นกันเยอะมาก

ครูอนุบาล “บ่นอุบ” กลัวที่สุด เวลาพบผู้ปกครอง 3 แบบ มารับลูกที่โรงเรียน โดยเฉพาะแบบที่ 2 ซึ่งมีคนเป็นกันเยอะมาก

คุณเห็นด้วยไหม? คุณเป็นพ่อแม่แบบไหน?

หลายคนมักคิดว่า เมื่อส่งลูกไปโรงเรียนอนุบาล ครูต้องรับผิดชอบทั้งหมด ดูแล สอน และเอาใจใส่ลูกเราโดยไม่มีข้อแม้ แต่แท้จริงแล้ว ทุกวันครูต้องรับมือกับเด็กนับสิบคนที่ทั้งซน ทั้งอารมณ์แปรปรวน แถมยังต้องเจอกับความ “เอาใจยาก” ของผู้ปกครองด้วย เรื่องนี้ทั้งเหน็ดเหนื่อยทางร่างกายและจิตใจจริง ๆ

มีคนเล่าว่า วันหนึ่งคุยกับเพื่อนที่เป็นครูประจำชั้นอนุบาล ฟังเธอเล่าถึง “ช่วงเวลาอารมณ์ระเบิด” ตอนเลิกเรียน ก็เข้าใจทันทีว่า ถ้าเจอผู้ปกครอง 3 แบบนี้ ครูแทบจะ “หัวร้อน” ไม่ต่างกัน เรื่องนี้จึงได้รับเสียงเห็นด้วยจากหลายคนมาก

แล้วผู้ปกครองทั้ง 3 แบบนั้นคือใคร?

Heavy bags take a toll on kids' health

แบบที่ 1: “วันนี้ลูกทำอะไรบ้าง?” – พ่อแม่ถามรัวจนครูแทบหายใจไม่ทัน

พอถึงเวลาเลิกเรียน ผู้ปกครองบางคนเพิ่งมาถึงก็ยิงคำถามเป็นชุดไม่หยุด

  • “ครูคะ ลูกผมกินข้าวไปกี่จานวันนี้?”
  • “มีทะเลาะกับเพื่อนไหม?”
  • “บ่ายเรียนวิชาอะไร?”
  • “ร้องไห้ไหม? ถูกรังแกหรือเปล่า?”
  • “ทำไมให้ใส่รองเท้าคู่นี้?”

ฟังดูเหมือน “ใส่ใจลูก” แต่ถ้าเป็นครูต้องเจอทุกวัน ความกดดันนั้นหนักหนามาก

เพื่อนของผู้เล่าเรื่องบอกว่า ครูบางครั้งต้องแอบดื่มน้ำตอนเด็กงีบกลางวัน ยังไม่นับคำถามไม่รู้จบจากผู้ปกครอง บางคนอยากให้ครูรายงานรายละเอียดทุกนาทีของวัน ราวกับติดกล้องวงจรปิด

บางครั้งผู้ปกครองเพียงได้ยินลูกบอกว่า “วันนี้ครูไม่ได้สนใจหนู” ก็วิ่งมาทักทายทันที “ฉันจ่ายเงินส่งลูกมาเรียนกับครู ทำไมครูไม่ดูแลเขา?”

การใส่ใจลูกเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อความใส่ใจกลายเป็น “คอยสอดส่อง” หรือ “สงสัยตลอดเวลา” นั่นคือผิดเพี้ยนแล้ว การศึกษาเป็นเรื่องความร่วมมือ ไม่ใช่การต่อสู้ และความเชื่อใจต่างหากคือพื้นฐาน ไม่ใช่การสอบสวน

แบบที่ 2: “โอ้ ฉันกำลังจะสาย ให้ลูกฉันออกก่อนสิ!” – แย่งคิวรับลูก ครูหมดทางรับมือ

ผู้ปกครองบางคนยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียนก็ยืนมองไปมาหรือเกาะหน้าต่างดูลูก พอถึงเวลาเลิกเรียนก็รีบวิ่งเข้ามา

  • “ครูคะ ฉันยุ่ง ให้ลูกฉันออกก่อนนะ!”
  • “เร็วหน่อย รถฉันจอดข้างนอกกลัวโดนปรับ!”
  • “คนเยอะเกิน กลัวลูกถูกเบียด ให้ฉันเข้าไปรับเลย!”

แต่ครูจะปล่อยเด็กหลายสิบคนออกไปพร้อมกันได้อย่างไร? หากทุกคนคิดว่า “ลูกฉันสำคัญที่สุด” แล้วไม่สนใจความปลอดภัยหรือระเบียบ ผลลัพธ์อาจร้ายแรง

ผู้ปกครองคนหนึ่งเล่าว่า เคยเจอสถานการณ์ที่มีผู้ปกครองพยายามดึงลูกออกไป ทำให้เด็กคนอื่นวิ่งตาม เกือบเกิดเหตุ “เหยียบกันเองขนาดย่อม” โชคดีที่ครูสามารถหยุดได้ แต่หลังจากนั้นยังมือสั่นขาอ่อน

การศึกษาคือกิจกรรมร่วมกัน การกระทำใดที่คิดว่าเป็น “สิทธิพิเศษ” อาจก่อความเสี่ยง หากผู้ปกครองไม่เคารพกฎ เด็กก็จะคิดว่ากฎไม่มีความหมายเช่นกัน

Assumption College Samutprakarn

แบบที่ 3: “ฉันกำลังอยู่บนทาง เดี๋ยวถึงนะ ครูช่วยรอหน่อย…” – ผู้ปกครองมาสายบ่อย ครูแทบเหนื่อยใจ

นี่คือแบบที่ทำให้ครูอยาก “กลอกตา” มากที่สุด หลังเลิกเรียนหลายสิบนาที เด็กยังยืนรอผู้ปกครองอยู่คนเดียว ครูอยากกลับบ้านก็ทำไม่ได้ เด็กก็หิว เหนื่อย และเหม่อลอย

บางครั้งผู้ปกครองโทรมาอย่างใจเย็น “รถติด ครูช่วยดูอีก 20 นาทีได้ไหม”

ครูไม่ใช่พี่เลี้ยงนอกเวลา พวกเขาก็มีครอบครัวและลูกต้องดูแล

ครูคนหนึ่งเล่าว่า มีวันหนึ่งเธอเปลี่ยนชุดเตรียมกลับบ้าน แต่ได้รับโทรศัพท์ “โอ้ วันนี้ฉันลืมถึงตาตัวเองไปรับลูก ให้แม่ฉันไปแทน”

ผลลัพธ์คือเธอต้องใส่เครื่องแบบกลับมาดูแลเด็กอีก

ปัญหาคือเรื่องนี้เกิดซ้ำ ๆ และไม่มีคำขอโทษ การมาตรงเวลาไม่ใช่แค่แสดงความเคารพต่อครู แต่ยังปกป้องความปลอดภัยทางอารมณ์ของเด็ก เด็กที่มักถูก “ลืมไปรับ” จะคิดในใจว่าตัวเองไม่สำคัญ

การไปรับลูกดูเหมือนเรื่องง่าย แต่รายละเอียดทุกอย่างสะท้อนทัศนคติในการเลี้ยงดู ความเคารพกฎ และการปกป้องความรู้สึกของลูก หากผู้ปกครองตรงเวลา เชื่อใจครู ปฏิบัติตามขั้นตอนและรักษาความเรียบร้อย เด็กก็จะเรียนรู้คุณสมบัติเหล่านี้ตามไปด้วย แต่หากคุณแซงคิว มาสาย หรือไม่เคารพกฎ เด็กก็จะเลียนแบบพฤติกรรมนั้น

เมื่อคุณไปรับลูก คุณไม่ได้แค่รับเด็กกลับบ้าน แต่กำลังสร้างภาพลักษณ์ของพ่อแม่ในใจลูกด้วย

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่