ความรัก 2025-11-24 22:26:47

ผมแอบพาลูกไปตรวจดีเอ็นเอเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง… และผลที่ได้กลับมานั้นเปิดประตูสู่นรก

ผมแอบพาลูกไปตรวจดีเอ็นเอเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง… และผลที่ได้กลับมานั้นเปิดประตูสู่นรกทั้งเป็นของผม

ผมแอบไปตรวจดีเอ็นเอเพราะอยาก tin vàoอนาคตของครอบครัวเรา
ผมอายุ 32 ปี แต่งงานมาเกือบสามปีแล้ว ชีวิตแต่งงานของผมเริ่มต้นแบบ… เรียบง่ายมาก ทั้งสองฝ่ายถูกญาติผู้ใหญ่จับคู่ให้ ตอนนั้นผมไม่ได้รีบร้อนจะแต่งงาน แค่คิดว่าลองพบกันไว้เป็นมารยาท ถ้าคลิกกันก็สานต่อ ไม่คลิกก็เป็นเพื่อนกันไป





เธอ — มินตรา — เป็นผู้หญิงเงียบ อ่อนโยน ไม่ค่อยพูด ความประทับใจแรกของผมมีแค่ “ผู้หญิงเรียบร้อยดี” เท่านั้น

เราคบกันไม่กี่ครั้ง คุยกันแต่เรื่องงาน เรื่องทั่วไป ยังไม่ถึงขั้นรัก แต่ก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาอะไร ระหว่างที่ผมยังลังเลว่าควรสานต่อไหม มินตรากลับเป็นฝ่ายเสนอให้แต่งงาน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เธอบอกว่าอายุมากแล้ว ครอบครัวก็กดดัน และคิดว่าการเจอผมเป็นวาสนาดีเลยอยากสร้างครอบครัวทันที ผมไม่รู้ว่าเพราะตกใจหรือถูกความนิ่งของเธอพาไป ผมก็เลยพยักหน้า

หลังแต่งงาน มินตราเป็นภรรยาที่ดี ดูแลบ้าน ไม่บ่น ไม่เรียกร้องอะไร ทุกอย่างเรียบจนบางครั้งผมยังสงสัยว่าชีวิตคู่ของเรามัน… ถูกต้องเกินไปหรือเปล่า มันไม่มีความหวานลึกซึ้ง แต่ก็อบอุ่นพอจะอยู่ได้

จนเมื่อเธอตั้งท้อง ผมเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ เธอเปลี่ยนไปมาก ตกใจง่าย นอนไม่ค่อยหลับ ไวต่อเสียงโรงพยาบาลอย่างผิดปกติ ทุกครั้งที่พาไปฝากครรภ์ เธอจะหลบสายตาคุณหมอ ตอบคำถามแบบสั้น ๆ เหมือนกลัวมีคนจำได้ ผมถาม เธอก็แค่บอกว่า “ไม่ค่อยชอบที่คนเยอะ ๆ”


Dna test ภาพถ่ายสต็อก Dna test รูปภาพปลอดค่าลิขสิทธิ์ | DepositPhotos


หลังลูกคลอด ความผิดปกติยิ่งชัด มินตรามีสมุดเล่มหนึ่งที่เธอซ่อนไว้ในตู้และล็อกตลอด บางคืนถึงขั้นกอดมันนอน ผมไม่ใช่คนขี้ระแวง แต่สัญชาตญาณผู้ชายทำให้ผมกังวลมากขึ้น จุดพีคคือวันที่เธออุ้มลูกออกไปทั้งวันไม่บอกใคร เมื่อกลับมา เธอร้องไห้หนักมาก แต่ไม่ยอมอธิบายอะไรเลย

ความสับสนของผมยิ่งหนัก เมื่อพี่พยาบาลที่รู้จักกันบอกว่า
“ภรรยาเอ็งเหมือนผู้ป่วยที่เคยมารักษาจิตเวชคนหนึ่งเลยนะ…”

ตั้งแต่นั้น เศษข้อมูลทุกอย่างในหัวผมก็เริ่มประกอบเป็นรูปชัดเจน

วันหนึ่ง ตอนมินตราเผลอหลับเพราะเหนื่อย ผมเปิดสมุดเล่มนั้น ข้างในเต็มไปด้วยตัวหนังสือยุ่ง ๆ มีชื่อผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นรักเก่าที่ทิ้งเธอไปตอนรู้ว่าเธอเป็นโรคซึมเศร้าจากเหตุการณ์ในครอบครัว มินตราเคยรักษาตัวอยู่นานมาก

สิ่งที่ทำให้ผมเจ็บที่สุดคือประโยคที่เธอเขียนว่า:
“การแต่งงานแบบคลุมถุงชนจะทำให้เราถูกยอมรับ และรู้สึกปลอดภัยกว่านี้”

ผมช็อกมาก ที่แท้การขอแต่งงานในวันนั้น ไม่ใช่เพราะเธอรักผมมากจนนึกอยากแต่ง แต่เพราะผมเป็น “ตัวเลือกที่ปลอดภัย” ตั๋วใบหนึ่งที่จะพาเธอออกจากอดีต

ตั้งแต่รู้ความจริง ผมไม่โกรธมินตรา แต่ผมติดอยู่ระหว่างความสงสารกับความเจ็บปวด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ผิดตำแหน่งในใจเธอ แม้ว่าตอนนี้ผมจะรักเธอจริง ๆ แล้วก็ตาม ส่วนมินตราเองก็ยังอ่อนโยน เสียสละ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมไม่รู้จะเล่าให้ใครฟัง และไม่รู้จะรับมืออย่างไร จะเลิกก็ตัดใจไม่ได้ จะอยู่ต่อก็รู้สึกเหมือนเป็นแค่เงาของใครอีกคน สิ่งเดียวที่ชัดเจนคือ “ลูก” — สายใยเดียวที่ทำให้ผมยึดชีวิตคู่ไว้

ผมจึงแอบพาลูกไปตรวจดีเอ็นเอ เพราะอยากมั่นใจในอนาคตที่ผมกำลัง cốสร้าง
ผลออกมาว่า เด็กคนนั้น… เป็นลูกผมจริง ๆ

แต่ทุกคืนเมื่อเห็นมินตรากอดลูกหลับ ผมก็ถามตัวเองว่า:
ถ้าวันนั้นผมไม่ตอบตกลงการแต่งงานแบบเร่งรีบ ชีวิตเราจะต่างจากนี้ไหม?

และลูกที่เรารักทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดจากความรักจริง ๆ ของพ่อแม่

ผมควรทำอย่างไรกับผู้หญิงที่ยังมีเงาของอดีตตามหลอกหลอนทุกวันแบบนี้?

บทความในหมวดเดียวกัน

บทความใหม่